กัปตันซึบาสะ 40 ปีจากฟุตบอลโลกถึงฟุตบอลโลก

เรื่องราวของกับตันซึบาสะ เริ่มต้นเมื่อปี 1978 เมื่อ ทาคาฮาชิ โยอิจิ ในวัย 18 ปี ได้ดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกที่อาร์เจนติน่าเป็นเจ้าภาพ แล้วเกิดความประทับใจในกีฬาชนิดนี้อย่างสุดซึ้ง จนเกิดความรู้สึกอยากจะถ่ายทอดความประทับใจนั้นออกมา หลังจากนั้น 3 ปี ในปี 1981 การ์ตูนเรื่อง “กัปตันซึบาสะ” ก็ได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์

ซึ่งแน่นอนครับว่า ในตอนนั้น ไม่มีใครคิดว่าการ์ตูนเรื่องนี้จะฮิตหรอก เพราะตอนนั้นกีฬาฟุตบอลมันไม่ฮิตในญี่ปุ่นเอาเสียเลย แม้กระทั่งตัวผู้เขียน อ.ทาคาฮาชิ โยอิจิ เองก็ไม่เคยเล่นฟุตบอลมาก่อนด้วยซ้ำ! (เจ้าตัวเพิ่งได้มีโอกาสเตะบอลครั้งแรกตอนอายุ 40 กว่าๆ) อย่าว่าแต่ความฝันจะไปบอลโลกเลยครับ วงการฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นตอนนั้นก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ทว่า 7 ปีที่การ์ตูนเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ในโชเน็นจัมป์กลับสร้างปรากฎการณ์มากมาย ด้วยยอดพิมพ์จนถึงปัจจุบันที่มากกว่า 70 ล้านเล่ม ส่งผลให้กัปตันซึบาสะกลายเป็นการ์ตูนฟุตบอลที่ขายดีที่สุดในโลกไปอย่างไร้คู่แข่ง และพอเรื่องนี้ถูกสร้างเป็นอนิเมออกฉายทางโทรทัศน์ในปี 1983 ความนิยมของกัปตันซึบาสะก็โด่งดังชนิดกู่ไม่กลับ และยิ่งไปภาคหลังๆ เรื่องราวของซึบาสะก็ยิ่งขยายขอบเขต จากประเทศญี่ปุ่น ไปยังระดับเยาวชนโลก ไปจนถึงลีกฟุตบอลอาชีพ

เราคงปฏิเสธไม่ได้ครับว่าซึบาสะกลายเป็นหมุดสำคัญที่ทำให้กีฬาฟุตบอลได้รับความนิยมในญี่ปุ่น จนนำไปสู่การก่อตั้งเจลีก ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นในปี 1992 ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาวงการฟุตบอลอย่างรวดเร็วจนทำให้ญี่ปุ่นผ่านรอบคัดเลือกได้เข้าไปเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1998 และจากนั้นทีมชาติญี่ปุ่นก็ได้เข้ารอบฟุตบอลโลกมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นทีมฟุตบอลระดับหัวแถวของเอเซีย ส่วนเจลีกเองก็เริ่มได้รับความสนใจจากนักเตะต่างชาติมากขึ้นรวมถึงนักเตะไทยด้วย

แน่นอนครับว่า กัปตันซึบาสะคือแรงบันดาลใจของนักฟุตบอลอาชีพหลายๆ คน ไม่ใช่เฉพาะนักเตะทีมชาติญี่ปุ่นอย่าง นากาตะ ฮิเดโทชิเท่านั้น แต่ดาวเตะอดีตทีมชาติสเปนอย่าง เฟอร์นาร์โด ตอร์เรส ก็ชอบการ์ตูนเรื่องนี้ถึงกับเคยกล่าวว่า “ถ้าอยากจะเป็นกองหน้าที่ดีล่ะก็ ต้องไปหากัปตันซึบาสะมาอ่าน” ส่วน เมซุต โอซิล ก็เคยใส่สนับแข้งลายกัปตันซึบาสะลงแข่งฟุตบอลยูโร 2016 เนย์มาร์นี่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเราคงรู้กันดีว่าการ์ตูนเรื่องนี้อวยบราซิลเอามากๆ ซึ่งอาจารย์ทาคาฮาชิก็เคยเขียนภาพเนย์มาร์มอบให้เจ้าตัวเป็นที่ระลึกด้วย ส่วนต๊อตติ (ที่เป็นคนละคนกับ ต๊อด ปิติ) เคยกล่าวว่า เขาเรียนรู้เทคนิคการแท็คเกิ้ลที่เหลือเชื่อจากการ์ตูนเรื่องนี้ ตำนานอาร์เซน่อลอย่างอองรีเคยขอบคุณการ์ตูนเรื่องนี้ที่ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ เดล ปิเอโร่ เคยพยายามฝึกลูกยิงแบบฮิวงะ โคจิโร่ (ซึ่งในเรื่อง ฮิวงะเคยไปเป็นนักเตะจูเวนตุส ต้นสังกัดของเดลปิเอโร่ด้วย) ส่วนเมสซี่นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เขาชอบการ์ตูนเรื่องนี้มากๆ แถมเจ้าตัวยังอยู่ทีมเดียวกับซึบาสะ(บาร์เซโลน่า)อีก และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ อันเดรส อิเนียสตา ที่เพิ่งปิดตำนานกับบาร์ซ่าไปหมาดๆ เขาเป็นแฟนตัวจริงของเรื่องนี้ขนาดที่ว่ามีทั้งเสื้อทีมนันคัตสึและโตโฮเลยทีเดียว (และไม่รู้ว่านี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ล่าสุดเจ้าตัวตัดสินใจมาค้าแข้งที่ญี่ปุ่นด้วยหรือเปล่า)

เดลปิเอโร่  เนย์มาร์ และ อิเนียสตา แฟนตัวจริงของกัปตันซึบาสะ (สังเกตดีๆ อิเนียสตา ใส่เสื้อทีมโตโฮด้วยนะ)

ในยุคนี้ กัปตันซึบาสะอาจจะไม่ได้เป็นการ์ตูนฮิตเหมือนในอดีต แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ครับว่าการ์ตูนเรื่องนี้คือผลงานที่พลิกโฉมวงการฟุตบอลที่ไม่เฉพาะแค่ในญี่ปุ่นแต่กลับส่งอิทธิพลไปทั่วทั้งโลก ซึ่งในปี 2018 นี้ที่ญี่ปุ่นเองก็เพิ่งเอากัปตันซึบาสะมาสร้างเป็นอนิเมใหม่อีกรอบหนึ่งเพื่อต้อนรับมหกรรมฟุตบอลโลกด้วย ผมกล้าพูดเลยว่า..ถ้าใครมองว่าการ์ตูนญี่ปุ่นไร้สาระและเต็มไปด้วยความรุนแรงหรือลามกอนาจาร..แปลว่าเขาคงไม่เคยอ่านกัปตันซึบาสะ และคงคิดไม่ถึงหรอกว่า การ์ตูนเรื่องหนึ่งสามารถพลิกโฉมโลกใบนี้ไปได้อย่างไรบ้าง..

ปล.จนถึงตอนนี้ กัปตันซึบาสะยังไม่จบนะครับ ล่าสุดคือภาค Captain Tsubasa: Rising Sun ออกรวมเล่มมาแล้ว 8 เล่มครับ และถ้าเอาเนื้อเรื่องของทุกภาคมารวมกัน ตอนนี้ก็มาไกลถึง 98 เล่มแล้วล่ะครับ

ปล.2 อาจจะเป็นเรื่องน่าแปลก แต่กับตันซึบาสะฉบับหนังสือการ์ตูน เคยถูกแปลเป็นภาษาอิตาลี่ ฝรั่งเศส ไทย เยอรมัน สเปน อารบิค ฯลฯ แต่ไม่เคยตีพิมพฺ์เป็นภาษาอังกฤษ(อย่างเป็นทางการ)เลย (ข้อมูลถึงปี 2010 นะครับ – Wikipedia) สังเกตเลยว่านักเตะชื่อดังที่ได้รับอิทธิพลจากซึบาสะนั้นไม่มีนักเตะจากอังกฤษเลย แต่เวอร์ชั่นอนิเมมีการทำภาษาอังกฤษออกมานะครับ ทัั้งทาง Animax และภาคล่าสุด (2018) ทาง Viz Media ก็ได้ลิขสิทธิ์ไป

ปล.3 เคยมีการตีพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้ในรูปแบบภาษาอารบิคส่งไปบริจาคให้เด็ก ๆ ในค่ายผู้อพยพชาวซีเรียด้วยนะ