ถึงตอนนี้ โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอน เกาะมหาสมบัติของโนบิตะ ก็กำลังฉายลงโรงในบ้านเราเป็นสัปดาห์สุดท้าย และน่าจะทำเงินปิดยอดไปได้ราว 12 ล้านบาท (เฉพาะ กทม.) ซึ่งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับ 2-3 ภาคที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่า การฉายโรงที่ช้าเกินไป และการทำตลาดที่ผิดพลาดในหลายๆ จุด ทำให้กระแสของ โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ภาคหลัง ๆ ในบ้านเราเริ่มซบเซาลงเรื่อย ๆ จนมาถึงภาคปี 2018 นี่แหละ ที่เริ่มทำรายได้เป็นกอบเป็นกำขึ้นมาได้บ้าง (ส่วนที่ญี่ปุ่นนั้นภาคนี้ถือได้ว่าทำลายสถิติรายได้ไปแล้ว)
ส่วนหนึ่งก็เพราะกระแสของ โดราเอม่อน เดอะ มูฟวี่ ภาคนี้ถือได้ว่ามาแรง ได้รับคำชมจากแฟนๆ ค่อนข้างมาก สังเกตได้เลยว่าคนที่เข้าโรงไปดูโดราเอม่อนภาคนี้เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก (ซึ่งแน่นอนครับ สัดส่วนคนดูหนังบ้านเราผู้ใหญ่สูงกว่าเด็กเล็กหลายเท่าตัว) และยังฉายค่อนข้างเร็วผิดกับภาคก่อนหน้าที่มีบิทซับไทยให้โหลดกันก่อนหนังฉาย แถมบางภาคนี่มีให้ดูกันบน Youtube ชนโรงเลยทีเดียว รายได้สองสามภาคก่อนนี้เลยดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าเป้าสักเท่าไหร่
ส่วนตัวผมเองก็เพิ่งได้ดูไปไม่นานนี้เองครับ เพราะตอนที่เขาฉายรอบสื่อไม่ได้ไปดูกับเขา เพราะติดดูหนังอีกเรื่องที่ดันฉายรอบสื่อวันเดียวกัน แต่ก็ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะมาดูเองแล้วเขียนถึงช่วงหนังใกล้ออกจากโรง ซึ่งถึงตอนนั้นน่าจะพูดอะไรได้เต็มปากเต็มคำมากกว่า เพราะเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะได้ดูกันในโรงไปหมดแล้ว (แต่เอาจริงๆ ก็ไม่อยากสปอยล์อะไรมากหรอกนะ เอาเป็นว่าจะไม่พูดถึงประเด็นสำคัญละกัน)
ที่หลายๆ คนยกย่องว่า นี่คือหนังโรงโดราเอมอนที่ดีที่สุด ผมเห็นด้วยส่วนหนึ่งครับ คือถ้าเทียบกับภาคหลังๆ ล่ะก็ มันก็ดีสุดจริง ๆ และถ้าเทียบกับภาคออริจินอลที่ไม่อิงกับต้นฉบับล่ะก็ นี่คือภาคที่ดีที่สุดแน่นอน แต่หากเทียบกับหนังโรงภาคต้นๆ ที่ อ.ฟูจิโกะ F ฟูจิโอะแต่งเนื้อเรื่องเองละก็ ผมว่ายังเป็นรองอยู่ขั้นหนึ่งนะ เพราะในความรู้สึกผม โดราเอมอนหนังโรงยุคแรกๆ ที่ อ.ฟูจิโกะ F ฟูจิโอะแต่งเอง มันมีความจริงจังบางอย่างที่แตกต่างไปจากภาคหลัง ๆ เนื่องจาก ฟูจิโกะ F ฟูจิโอะ ใส่แนวคิดที่อยู่นอกเหนือกรอบการ์ตูนเด็กลงไปเยอะมาก ทั้งในด้านปรัชญาการเมือง จิตวิทยา วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ไปจนถึงประวัติศาสตร์ผสมผสานเข้ากับการ์ตูนเด็กได้อย่างลงตัว ในขณะที่ภาคหลังจากที่ อ.ฟูจิโกะ F ฟูจิโอะเสียชีวิตไปแล้วนั้นจะเน้นไปที่มิตรภาพของเพื่อนและการผจญภัยในแบบการ์ตูนเด็กซึ่งเข้าถึงกลุ่มผู้ชมครอบครัวได้ง่ายเสียมากกว่า
ซึ่งจุดที่ทำให้หลายๆ คนชื่นชมโดราเอมอน 2018 ก็คือทางทีมสร้างเริ่มกล้าที่จะขยับตัวออกจากเซฟโซน ออกจากสูตรสำเร็จที่เป็นแนวทางในภาคหลังๆ เริ่มตั้งแต่โครงเรื่องที่ผมต้องชมเลยว่า หลอกคนดูได้ดีมากครับ เพราะดูจากภาพโปรโมต ดูจากชื่อเรื่อง ผมคิดว่าหลายๆ คนคงคาดว่าภาคนี้จะเป็นการผจญภัยในแบบโจรสลัดโบราณล่องทะเลไปเจอเกาะมหาสมบัติ หรือจะเป็นการรีเมคภาค ผจญภัยเกาะมหาสมบัติ ในปี 1998 มาทำใหม่หรือเปล่า วาระครบรอบ 20 ปีพอดีด้วย แต่ผลกลับกลายเป็นว่า นี่คือโดราเอม่อน เดอะ มูฟวี่ ภาคใหม่ และเป็นเนื้อเรื่องโทนวิทยาศาสตร์แบบเข้มข้น โดยมีเรื่องราวของโจรสลัดเป็นเปลือกห่อบางๆ เท่านั้น ซึ่งเนื้อเรื่องที่ทีมงานปิดเงียบมาตลอดนี่แหละกลายเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของแฟนๆ แถมมันดันออกมาดีด้วย
นอกจากโครงเรื่องที่เข้มข้นและคาดไม่ถึงแล้ว งานออกแบบในเรื่องนี้ก็ถือว่าดีครับ สังเกตได้เลยว่าโดราเอมอนภาคนี้ใช้งานภาพได้อย่างคุ้มค่ามาก สีสันสดใสและจัดจ้านตัดกันในสไตล์หมู่เกาะเขตร้อน อย่างน้อยถ้าเทียบกับสองสามภาคก่อนหน้าก็ถือว่าการเลือกใช้โทนสีแตกต่างกันชัดเลย การออกแบบเครื่องจักรในเรื่องก็ทำออกมาได้ดีใกล้เคียงกับอารมณ์ดั้งเดิมของ อ.ฟูจิโกะ F ฟูจิโอะ ที่นอกจากความน่ารักแล้วยังมีความเท่ด้วย อีกทั้งกองทัพมินิโดร่าในภาคนี้ที่มากันหลากหลายสีแม้จะไม่มีบทโดดเด่นแต่ก็เป็นตัวขโมยซีนในหลายๆ ฉาก และฉากไคลแมกซ์ในเรื่องก็ทำออกมาได้ดี ใช้วิชวลเอฟเฟกต์ได้คุ้มค่าสมกับที่เป็น “หนังใหญ่” จริงๆ
และอีกประเด็นหนึ่งทีผมค่อนข้างชอบและถือว่าแปลกใหม่พอสมควรก็คือ เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ซึ่งคู่แรกนั้นเป็นตัวละครใหม่ประจำภาคนี้ซึ่งผมขอไม่ลงรายละเอียดเพราะเดี๋ยวจะสปอยล์กันเกินไป ส่วนอีกคู่หนึ่งก็คือ พ่อลูกบ้านโนบิตะนี่แหละครับ จริงๆ ในการ์ตูนชุดนี้เรามักจะคุ้นเคยความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกบ้านโนบิตะกันดี แต่เรื่องของพ่อลูกบ้านโนบิตะกลับไม่ค่อยพูดถึงกันมากนัก มีที่เด่นๆ หน่อยก็ภาค โนบิตะผจญภัยในเกาะมหัศจรรย์ (2012) และก็ข้ามมาภาคนี้เลย แม้ว่าบทบาทของพ่อโนบิตะจะมีไม่เยอะมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นจุดสำคัญที่มีผลกระทบกับเนื้อเรื่องพอสมควรทีเดียว เพราะสาเหตุสำคัญของความวุ่นวายในเรื่องนี้ก็คือปัญหาพ่อลูกทะเลาะกันนี่แหละ แต่จะเป็นพ่อลูกคู่ไหนและเรื่องอะไรต่องไปดูกันเอาเองนะ
โดยสรุปแล้ว โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ตอน เกาะมหาสมบัติของโนบิตะ อาจจะไม่ใช่ภาคที่ผมชอบที่สุด แต่ก็เป็นภาคออริจินอลที่ดีที่สุด และน่าจะเป็นภาคที่ทำออกมาได้ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาด้วย ถ้าใครยังไม่ได้ดู ก็ยังเหลือเวลาอีกราว 2-3 วันก่อนที่จะหลุดโปรแกรมนะครับ ไม่งั้นกว่าจะรอแผ่นออกวางจำหน่ายก็ต้องรอกันข้ามปีเลยล่ะ