อันที่จริงผมไม่ค่อยได้เขียนรีวิวเกมกันสักเท่าไหร่หรอก แต่สำหรับซีรี่ส์ Dynasty Warriors นั้นถือเป็นข้อยกเว้นครับ เพราะผมเป็นแฟนเกมตระกูลมุโซหรือเกมอะไรก็ตามที่ห้อยท้ายด้วยคำว่า warriors ด้วยเหตุผลคือ มันเล่นง่าย สะใจ เน้นอาละวาดฟันแหลกระบายอารมณ์ แม้บางทีมันก็อาจจะซ้ำซากอยู่บ้าง ถึงขนาดเพื่อนยังบ่นว่า ซื้อเกมสามก๊กมาเล่นอีกแล้วหรือ..มันก็เหมือนๆ เดิมนั่นแหละ
แต่สำหรับ Dynasty Warriors 9 นั้นอาจจะเป็นเกมตระกูลมุโซที่แตกต่างออกไปครับ เพราะภาคนี้เปลี่ยนระบบเป็น Open World ตามสมัยนิยม ซึ่งจริงๆ ผมเองก็ตั้งใจไว้อยู่แล้วแหละว่าถ้าเกมออกมาเมื่อไหร่ก็จะรีวิวเกมนี้ด้วย ทว่าตัวเกมนั้นออกมาตั้งแต่กุมภาพันธ์ แต่ผมมาได้เล่นจริงๆ ก็ปาเข้าไปเดือนตุลาคมเลยครับ เหตุผลง่ายๆ เลย..มันแพงครับ ราคาเปิดตัวเกมนี้ถือว่าแรงเอาเรื่องอยู่ตามปกติของเกมค่ายญี่ปุ่น และอีกอย่างก็คือ คะแนนรีวิวมันห่วยแตกเสียจนน่าตกใจ เลยทำให้ผมเกิดความลังเลที่จะซื้อไปชั่วขณะ แต่พอถึงช่วงปลายปี ราคาเกมร้านประจำผมมันตกลงมาเหลือหลักพันนิดๆ (มีโปรพอดี) ก็เลยรู้สึกว่า พอที่จะรับได้อยู่
ด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ ผมคงไม่พูดอะไรมากนะครับ เพราะเรื่องราวของสามก๊กนั้นเชื่อแน่ว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนระบบเกมเป็น Open World ที่มาพร้อมกับแผนที่เกมขนาดใหญ่ สมกับที่เป็นประเทศจีนจริงๆ แต่ขนาดของแผนที่นี่แหละที่กลายเป็นจุดอ่อนอย่างแรก เพราะดูๆ แล้วมันก็ซ้ำๆ กันไปหมดเลยครับ เพราะมันเป็นประเทศจีนในยุคสงครามโบราณ สภาพแวดล้อมในเกมเลยไม่ได้ดูสวยสดงดงามอลังการเหมือนพวกเกมแนวแฟนตาซีที่จะใส่อะไรลงไปก็ได้ มีแต่ ป่า ทุ่งหญ้า เมืองโทรมๆ ป้อมไม้ผุๆ ซึ่งแรกๆ เล่นใหม่ๆ ก็พอตื่นเต้นอยู่หรอก แต่สักพักก็จะเบื่อจนหันมาใช้วิธีวาร์ปเอาแทนการเดิน (เราสามารถวาร์ปไปจุดต่างๆ ในแผนที่ที่เราเคยไปหรือยึดครองมาแล้วได้) ส่วนจะให้ขี่ม้าไปก็ได้นะ เพราะมี AI ให้ม้าวิ่งอัตโนมัติได้ด้วย แต่ขอโทษเถอะ AI ม้าในเกมนี้ เดี๋ยวก็ชนนั่น ชนนี่ วิ่งวนในเมืองออกไม่ได้ก็มี ของดรอปก็ไม่เก็บอีก บังคับเองแหละดีแล้วครับ
และที่สำคัญ ไอ้ระบบสภาพอากาศ ทั้งฝนตก กลางวัน กลางคืน หมอก กลับทำให้ภาพยิ่งดูดรอปลงไปอีก จากที่ปกติกราฟฟิกของภาคนี้ก็ดูต่ำกว่ามาตรฐาน PS4 อยู่แล้ว ทั้งทรงผม ผ้าคลุม ดูแข็งโป๊กยังกับไม้กระดาน พอลากมา Cut Scene ก็เลยยิ่งไม่รู้สึกว่าประทับใจสักเท่าไหร่ บางซีนนี่นึกว่าเล่นเกม PS3 อยู่เสียอีก บั๊กก็เพียบ พวกศัตรูของเราส่วนใหญ่ก็จะเป็นทหารราบที่หน้าตาซ้ำๆ กัน แยกไม่ออกว่าก๊กไหนเป็นก๊กไหน และที่สำคัญคือ ขนาดปรับความยากเพิ่มแล้วทหารศัตรูยังโคตรอ่อนแอจนรู้สึกว่า เล่นยังไงก็ไม่ตาย ถ้าไม่เจอระดับขุนศึกหรือตายเพราะภารกิจล้มเหลว หรือไม่ก็ตายเพราะเสือกับหมี (สองตัวนี้ดุกว่าทหารอีก) ส่วนพวกภารกิจแนว Craft ของ ล่าสัตว์ตกปลาตามสมัยนิยมก็ไม่ได้ทำให้รู้่สึกแปลกใหม่หรือตื่นเต้นเลย เพราะเกมอื่นๆ ก็มีเหมือนกัน แถมเกมนี้ยังทำได้ไม่สุดอีก ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเกมที่ไม่ลงตัวเลย ไม่ว่าจะในฐานะเกมมุโซหรือแนว Open World คะแนนรีวิวของหลายๆ สำนักถึงได้ออกมาต่ำต้อยติดดินมาก
โดยส่วนตัวแล้ว สำหรับผม Dynasty Warriors 6-7 (PS2-3) น่าจะเป็นภาคที่ลงตัวที่สุดสำหรับคนที่ชอบเกมแนวตะลุยแหลกแบบมุโซ แต่ก็อย่างที่เราทราบแหละครับว่า เกมแนวอิงประวัติศาสตร์มันถึงจุดอิ่มตัวแล้วจริงๆ การพยายามแทรกอะไรใหม่ๆ อย่างจับตัวละครสามก๊กมาแต่งคอสเพลย์ (DLC) พูดตามตรงผมว่ามันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย และการก้าวเข้าสู่ระบบ Open World ก็อาจจะเป็นแค่ก้าวแรกของการขยายโลกของสามก๊กมุโซออกไปอีก แต่คาดว่าคงยังต้องใช้เวลาพัฒนากันต่อไปอีกนานครับ สำหรับภาค 9 ที่ออกมายังไม่ลงตัวสักเท่าไหร่ แถมเวลาเปลี่ยนตัวละครเล่นกลางคันในเกมนี้ ยังส่งผลให้เราต้องย้อนกลับไปเล่นตัวละครเดิมใหม่หมดด้วย(เพื่อ?) ทำให้หลายๆ คนอาจจะถอดใจที่จะเล่นครบทุกตัวละคร เพราะแค่ผมเล่นเล่าปี่ตัวเดียวยังปาไป 20 กว่าชั่วโมงเลย (จริงๆ ไม่ถึงหรอก แต่ช่วงแรกบ้าเก็บเควสไปหน่อย เสียเวลาไปเยอะ) แต่ภาคนี้มีตัวละครให้เล่นกันตั้ง 90 ตัว..ถ้าจะเล่นให้ครบคงต้องเล่นกันเป็นปีเลย แต่ถ้ารักซีรี่ส์นี้จริงๆ ก็คงต้องเล่นให้จบสักบทล่ะนะ แล้วค่อยไปฝากความหวังกับภาคหน้ากันต่อไป…