[COMIC REVIEW] ลุยแหลกเกินพิกัด!!

ก่อนที่จะพูดถึงเรื่อง “ลุยแหลกเกินพิกัด” ต้องถามกันก่อนว่ารู้จักเรื่อง “ลุยแหลกเกินหลักสูตร” กันไหมครับ ลุยแหลกเกินหลักสูตร หรือ Jinnairyū Jyūjyutsu Butouden Majimakun Suttobasu!! (1995-1998) เป็นการ์ตูนแอ๊กชั่นเรื่องหนึ่งในนิตยสารโชเน็นจัมป์ (บ้านเราตีพิมพ์ใน C-KIDS) ซึ่งโด่งดังมากในยุค 90 ตัวเอกของเรื่องคือ มาจิมะ เรย์ เป็นผู้สืบทอดยิวยิตสูสำนักจินไน ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณของญี่ปุ่นที่คิดค้นขึ้นในสมัยสงครามกลางเมือง(ยุคเซ็นโกคุ) และสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน

มาจิมะ เรย์ ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด จึงได้ท้าประลองกับศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยูโด คาราเต้ ไปจนถึงการเข้าประลองในสังเวียน GIGA BATTLE ที่อเมริกา และได้สู้กับครุฑ เมืองสุรินทร์ นักมวยไทยสุดแกร่งด้วย (เป็นหนึ่งในตัวละครชาวไทยในการ์ตูนที่โคตรเท่) แต่ไม่รู้กระแสความนิยมตกหรืออะไรไม่ทราบ การ์ตูนเรื่งนี้ถึงได้ตัดจบแบบปาหมอนมากๆ ทั้งที่จริงๆ เนื้อเรื่องก็เดินมาไกลจนคิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะจบแล้ว แต่กลับชิงตัดจบเสียก่อน

หลังจากนั้น ในช่วงที่ทุกคนเกือบจะลืมว่ามีการ์ตูนเรื่องนี้อยู่ในโลกไปแล้ว นิวาโนะ มาโคโตะ ผู้เขียนการ์ตูนเรื่องนี้ (ซึ่งเคยเขียนการ์ตูนโนตมอย่าง Bomber Girl มาก่อน) ก็กลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อเฉยเลย กับต้นสังกัดใหม่ที่ชื่อ นิฮอนบุนเกอิฉะ โดยเริ่มตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2009 และผูกเรื่องให้เป็นเหตุการณ์ 6 ปีหลังจากภาคแรก ซึ่งมาจิมะ เรย์ ตัวเอกที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ 6 ปีก่อน อยู่ๆ ก็มายืนอยู่กลางสี่แยกชินจูกุ และสูญเสียความทรงจำในช่วง 6 ปีจนหมด

ซึ่งในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา วงการศิลปการต่อสู้ในญี่ปุ่นก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย และตั้งแต่ที่มาจิมะ เรย์ หายตัวไป สำนักจินไนก็เข้าสู่ช่วงตกต่ำ ถึงขนาดไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าโรงฝึกต้องเอาชุดเกราะของดาเตะ มาซามุเนะ ที่เป็นสัญลักษณ์ของสำนักไปขายทำทุน(โถ ชีวิต) ซึ่งมาจิมะ เรย์ ต้องกลับมาต่อสู้เพื่อตามหาความทรงจำที่หายไปของตน พร้อมกับชะตากรรมของเพื่อนๆ และอาจารย์ที่ยังสาบสูญ ซึ่งคำตอบนั้น อยู่บนสังเวียนการต่อสู้ที่รอคอยเขาอยู่

ตอนที่อ่านการ์ตูนเรื่องนี้ก็ต้องยอมรับเลยครับว่า ต้องมีการทบทวนความจำครั้งใหญ่ เพราะการ์ตูนภาคก่อนจบไปนานมากแล้ว และถึงแม้ว่าผู้เขียนจะกลับมาเขียนต่อตั้งแต่ปี 2009 แต่ก็ย้ายไปอยู่กับ สนพ. นิฮอนบุนเกอิฉะ ที่บ้านเราไม่ค่อยรู้จักกันสักเท่าไหร่ ต้องรอนานหลายปีเลยกว่าจะมีคนซื้อลิขสิทธิ์มาให้อ่านกัน ซึ่งได้ข่าวว่าเรื่องนี้ทางหัวหน้าบก.ของบุรพัฒน์ลงทุนเลือกเอง เพราะเจ้าตัวชอบศิลปะการต่อสู้อยู่แล้ว แม้ว่าสังขารจะไม่ให้ (ฮา) ในส่วนการแปลนั้น ก็ถือว่าทำได้ดีครับ นักแปลก็ชื่อพอคุ้นๆ เหมือนเคยแปลอยู่สำนักพิมพ์แถวพระราม 3 (ฮา) แต่พวกชื่อท่าต่างๆ ดูจะไม่เหมือนเวอร์ชั่นเดิมสักเท่าไหร่ ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก เพราะบอกตามตรงว่า จำชื่อท่าเก่าๆ ไม่ได้เลย ยกเว้นท่า “เกาลัดเหล็ก” ที่เป็นเอกลักษณ์จนทำให้เด็กๆ ยุค 90 นิ้วหักกันไปหลายคน (เพราะไปฝึกท่านี้เนี่ยแหละ)

ในส่วนลายเส้นนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร คือถ้าพูดตามตรง ผมชอบลายเส้นภาคเก่ามากกว่า โดยเฉพาะพวกเทคนิคการใช้สกรีนโทนที่ภาคเก่าทำได้ค่อนข้างสวย แต่ก็ต้องเข้าใจนะครับว่า ผู้เขียนเองก็อายุมากขึ้น สูงวัยขึ้น (อายุ 54 ย่าง 55 ปี) สไตล์การเขียนก็เปลี่ยนไป แม้กระทั่งโทนเรื่องเองก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรื่องลามกอนาจารนะครับ (พูดตามตรงนะ ภาคนี้สาว ๆ บทน้อยกว่าภาคก่อนอีก) แต่เป็นโทนเรื่องที่โหดขึ้น สมจริงขึ้น เพราะของเก่ายังไงก็มีกรอบของการเป็นการ์ตูนโชเน็น(เด็กผู้ชาย) แต่คราวนี้มาแบบการ์ตูนผู้ใหญ่จัดเต็ม และกระแสการบูมของศิลปะการต่อสู้แบบ K-1 ที่ญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อน ก็ทำให้เนื้อเรื่องดูมีมิติที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่าภาคก่อนด้วย เพราะในภาคแรก ปมหนึ่งของเรื่องก็คือการทำให้โลกรู้จักยิวยิตสูสำนักจินไนที่เป็นศิลปะการต่อสู้แบบโบราณที่แตกต่างจากศิลปะการต่อสู้แบบกีฬาในยุคนั้น แต่พอภาคนี้ที่เขียนหลัง K-1 บูม ก็เลยต่อยกันแบบไม่ต่องกั๊กจัดเต็มไม่ต้องกังวลเรื่องขอบเขตของความเป็นกีฬากันเลย

สรุปแล้ว ถ้าคุณยังคิดถึง “มาจิมะ เรย์” และคาใจกับการตัดจบก็ซื้อไปอ่านกันเถอะ ตอนแรกผมเห็นราคา 79 บาทก็ลังเลอยู่ แต่ตอนนี้ สนพ.อื่นๆ ก็ปรับราคากันไปหมดแล้ว เลยไม่รู้สึกว่าแพงกว่าเจ้าอื่นสักเท่าไหร่ และทางบุรพัฒน์ก็ออกเรื่องนี้ค่อนข้างเร็ว เฉลี่ยเดือนละเล่ม แว่วว่ามีแปลสต็อกไว้หลายเล่มแล้วด้วย (ที่ญี่ปุ่นออกถึงเล่ม 20 และยังไม่จบ) ซึ่งดูทรงแล้วภายในปีนี้ฉบับไทยก็น่าจะไล่หลังตามต้นฉบับญี่ปุ่นแน่นอนครับ ส่วนคนที่ไม่เคยอ่านภาคแรกมาก่อน ก็ลองไปหาภาคแรกมาอ่านได้นะ แว่วว่ามีพิมพ์ย้อนมาขายอยู่ แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “ลุยแหลก แหกหลักสูตร!!” นะ