*****บทความนี้ สปอยล์เนื้อหาสำคัญบางส่วน *****
ก่อนที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่อง Your Name เมื่อปี 2016 ชื่อของผู้กำกับ ชินไก มาโคโตะ ก็ถือได้ว่าโด่งดังในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่ความสำเร็จของ Your Name นั้นก็ยิ่งทำให้ อ.ชินไก ถูกจับตามองมากขึ้น จนบางคนถึงกับยกย่องให้เป็นมิยาซากิ ฮายาโอะ คนที่สองเลยก็มี (ทั้งที่จริง ผมว่าทั้งสองคน ทำหนังออกมาคนละแนวกันเลยนะ ถึงจะเป็นอนิเมเหมือนกันก็เถอะ)
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/maxresdefault-3-1024x576.jpg)
เรื่องฝีมือของผู้กำกับชินไกนั้น คงไม่ต้องสาธยายอะไรเพิ่มเติมแล้ว แต่เหตุผลที่ Your Name ประสบความสำเร็จสูงนั้น ก็เพราะ Your Name เป็นอนิเมของ อ.ชินไก ที่ดูง่ายที่สุดเ มื่อเทียบกับผลงานเรื่องอื่นๆ ของ อ.ชินไกก่อนหน้านี้ ที่แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ออกมาในแนวที่ตลาดยอมรับได้ง่ายเหมือนกับ Your Name ที่มีแก่นเป็นเรื่องราวความรักแบบวัยรุ่นยุคใหม่เข้าที่สอดแทรกขดเกลียวเข้ากับความเชื่อ ความศรัทธาและการเล่นกับความรู้สึกในใจของผู้ชมได้อย่างลงตัว
และสำหรับเรื่อง Weathering with You ที่เป็นผลงานใหม่ล่าสุดของ อ.ชินไกนั้น หากพูดกันตามตรง นี่ก็คือผลงานที่ดูแล้วย่อยง่ายยิ่งกว่า Your Name เสียอีก แม้ตัวอนิเมจะยังคงหยิบเอาตำนานพื้นถิ่นอย่าง “สาวฟ้าใส” (晴れ女) มาผูกกับเรื่องราวความรัก และการเติบโตของวัยรุ่นยุคใหม่ในป่าคอนกรีตได้อย่างน่าสนใจ ผ่านตัวละครหลักๆ ก็คือ โฮดากะ เด็กหนุ่มที่หนีออกจากบ้านมายังโตเกียว และ ฮินะ ตัวเอกของเรื่องที่เป็นสาวฟ้าใส ที่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/1f55a2aecfcd1603553af9c98ae2768d0d222256-1024x640.jpg)
ซึ่งจุดแรกที่ผมรู้สึกว่า ผลงานเรื่องนี้แตกต่างจากงานอื่นๆ ของ อ.ชินไก เรื่องอื่นๆ ก็คือ โฮดากะ ตัวเอกของเรื่องนั้นมีความเป็น Loser สูงมาก ผิดกับพระเอกจากอนิเมเรื่องอื่นๆ ของ อ.ชินไกที่ดูพระเอ๊ก พระเอกเสียจนน่าหมั่นไส้ (ฮา) แต่เจ้าโฮดากะนี่เป็นเด็กหนุ่มอายุ 16 ที่ทำตัวผิดกฎหมายตั้งแต่แอบหนีออกจากบ้าน และพยายามที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโตเกียวแบบหลบๆ ซ่อนๆ เงินก็ไม่ค่อยมี จนต้องไปพัวพันกับเรื่องผิดกฎหมายเข้า แต่สุดท้ายก็ถูก สุกะ (ให้เสียงพากย์โดย โอกุริ ชุน) ตาลุงที่เป็นคอลัมน์นิสต์เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับช่วยเหลือเอาไว้ เพราะเจ้าตัวเองรู้สึกเหมือนกับเห็นโฮดากะเป็นภาพสะท้อนของตัวเองในอดีต ซึ่งคาแรกเตอร์ แบบ Zero To Hero ของโฮดากะนี่แหละ ที่ทำให้ผมสึกว่าหมอนี่เหมือนจะเป็นพระเอกตามขนบการ์ตูน “โชเน็น” มากกว่าพระเอกการ์ตูนของ อ.ชินไกเรื่องอื่น
ส่วน ฮินะ ก็เป็นสาวฟ้าใสที่ได้รับพลังในการควบคุมสภาพอากาศมาจากเทพอินาริ ซึ่งเจ้าตัวสูญเสียแม่ไปเมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้ต้องแอบอาศัยอยู่กับน้องชาย ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องผิดกฏหมายที่ญี่ปุ่น (เด็กๆ ไม่สามารถอยู่กันเองได้โดยไม่มีผู้ปกครอง) เจ้าตัวจึงต้องแอบโกงอายุแล้วลักลอบทำงานพิเศษเพื่อหาเลี้ยงน้องชาย จนกระทั่งได้พบกับโฮดากะ และเริ่มต้นกิจการ “สาวฟ้าใส” คอยควบคุมสภาพอากาศผ่านการรับคำร้องขอทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อแก้ปัญหาฝนตกไม่หยุดในโตเกียวที่กระทบถึงวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่แห่งนี้
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/95311138dbc5d969cdf911fe9391af27-1024x545.jpg)
แน่นอนครับว่า การเข้าไปแทรกแซงสภาพอากาศนั้น เป็นการ “ฝืนกฎ” ระหว่างเทพอินาริและเทพมังกร จึงจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง นั้นคือฮินะต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับการทำให้ท้องฟ้าแจ่มใส ยิ่งใช้พลังมากเท่าไหร่ ร่างกายของฮินะก็ค่อยๆ โปร่งใสจนเริ่มเลือนหาย ในที่สุดก็ถึงจุดที่ฮิดากะต้องตัดสินใจว่า การเลือกระหว่าง คนหนึ่งคน(ฮินะ) กับความสุขของคนทั้งเมือง เขาควรจะเลือกเส้นทางไหน
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/maxresdefault-2-1024x576.jpg)
ซึ่งถ้าเราสังเกตดีๆ ตัวอนิเมนั้น เดินเรื่องโดยเหล่าตัวละครหลักที่ต้องการ “ฝืนกฏ” กันทุกคน ฮิดากะแหกกฎครอบครัวหนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตอย่างผิดกฎหมายในเมืองจนทำให้ถูกตำรวจไล่ล่า ฮินะก็ฝืนกฎหมายเยาวชนแอบทำงานพิเศษและใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีผู้ปกครอง และยังฝืนกฎทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆฝนกลับมาสดใส แต่ถามว่ากฎผิดไหม ก็ต้องบอกว่าไม่ เพราะกฎเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้นเพื่อให้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข ไม่ใช่กฎเพื่อคนใดคนหนึ่ง
ซึ่งท้ายสุด สิ่งที่ตัวหนังให้คำตอบเราก็คือ นำตัวเองกลับเข้าสู่กติกาที่ถูกต้องเสีย แม้ว่านั่นอาจจะไม่ใช่หนทางที่สวยงาม หรือทำให้ทุกคนมีความสุข โฮดากะก็ต้องกลับบ้านนอก(เกาะ)ไปเรียนให้จบ ส่วนฮินะนั้นก็เลิกเป็นสาวฟ้าใส และปล่อยให้สภาพอากาศเป็นไปอย่างที่ควรเป็น นั่นก็คือปล่อยให้ฝนตกไม่หยุดจนโตเกียวจมทะเลไปเลย
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/https___imgix-proxy.n8s.jp_content_pic_20190728_96958A99889DE6E5EAE2EBE5E0E2E0E4E2E5E0E2E3EB9097E282E2E2-DSXKZO4780973026072019BE0P00-PB1-3.jpg)
ซึ่งแน่นอนว่า มันกลายเป็นความรู้สึกผิดที่โฮดากะต้องแบกรับเอาไว้ แต่หนังก็พยายามบอกว่า สิ่งที่ทั้งโฮดากะและฮินะตัดสินใจไป ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก โตเกียวเดิมทีมันก็สมควรจะจมทะเลอยู่แล้ว เหมือนอย่างที่ 800 ปีก่อนโตเกียวก็เคยจมอยู่ใต้น้ำ จนกระทั่งเกิดมีเด็กสาว(มิโกะ) ที่คอยเข้ามาแทรกแซงสภาพอากาศ จนทำให้โตเกียวไม่ต้องจมอยู่ใต้น้ำโดยแลกกับชีวิตของตน แต่มันถูกต้องหรือเปล่ากับการเสียสละตนเองเพื่อให้คนส่วนใหญ่มีความสุข หรือเราควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบที่ควรจะเป็นดีล่ะ? เรา(วัยรุ่น)กำลังแบกภาระที่ใหญ่เกินตัวไปหรือเปล่า นี่คือคำถามที่ไร้คำตอบทืี่ อ.ชินไกถามวัยรุ่นผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/D9WNihtXUAIa4lO-1024x576.jpg)
ในส่วนอื่นๆ ที่น่าสนใจก็คือ งานภาพที่ถือได้ว่า อัพเกรดไปอีกขั้นหนึ่ง และถือเป็นลายเซ็นของ อ.ชินไกกับการถ่ายทอดภาพของเมืองแบบเหงาๆ กับท้องฟ้าสวยๆ ออกมาได้อย่างน่าสนใจ จนทำให้เราได้เห็นโตเกียวในอีกมุมมองหนึ่งที่ต่างจากที่เราเคยเห็น (รวมถึงโฆษณาแฝงที่เพิ่มขึ้นด้วย-ฮา) และยังมีการ reference ถึงผลงานเก่า ๆ ของ อ.ชินไกได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งตรงนี้จะไม่ขอบอกว่าตรงไหน เพราะอยากให้ไปพิสูจน์เอาเอง แต่บอกเลยว่าถ้าเป็นแฟน อ.ชินไกจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจนอยากจะร้องว้าวออกมาดังๆ เลย
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/ffce0f6dfc9a8068b007449e0b146e1d-760x428.jpg)
ส่วนเพลงประกอบนั้นก็ถือว่ายอดเยี่ยม แต่บางทีก็รู้สึกว่า แอบใส่เพลงเยอะเกินไปนิด ใส่เสียจนรู้สึกว่าเหมือนจะยัดเยียดจนบางทีก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูมิวสิควิดีโอขนาดยาวมากเกินไปนิด และตอนจบที่เหมือนกับบทสรุป แต่ยังไม่สามารถขมวดปมที่สร้างไว้ได้ทั้งหมดได้ คือยังมีอะไรให้คาใจอยู่บ้างพอสมควร ซึ่งต่างกับ Your Name ที่ทุกปมสามารถขมวดลงได้อย่างลงตัวจนทำให้หลายคนต้องกลับไปดูซ้ำเพื่อพิสูจน์ปมที่ซ่อนอยู่ในเรื่องกันอีกรอบจนทำให้หนังทำเงินอย่างถล่มทลาย ซึ่งนั่นเป็นจุดที่ทำให้ผมยังชอบ Your Name มากกว่า แถมเรื่องนี้ยังไม่มีอะไรที่หักมุมได้เท่ากับตอน Your Name ด้วย แม้ตอนจบอาจจะรู้สึกประหลาดใจนิดๆ อยู่บ้างก็ตามที
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/2138975_201907010716031001561975481c.jpg)
ปล.ไม่รู้มีใครคิดเหมือนผมหรือเปล่า แต่ผมว่าในหลายๆ มุม หน้าของเจ้าโฮดากะก็ดูคล้ายๆ คิริโตะ (SAO) อยู่ไม่น้อยเลยนะ
ปล.2 ตอนที่โฮดากะอาศัย Manga Cafe เป็นที่หลับนอน (เพราะไม่มีเงิน) เขาได้อ่านหนังสือเรื่อง The Catcher in the Rye หรือชื่อฉบับภาษาไทย “จะเป็นผู้คอยรับไว้ ไม่ให้ใครร่วงหล่น” (แปลไทยโดย ปราบดาหยุ่น ส่วนฉบับญี่ปุ่นที่ปรากฎในหนัง มุราคามิ เป็นผู้แปล) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ มีความนัยแฝง 2 อย่าง อย่างแรกก็ตามชื่อเรื่องเลยครับ หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเด็กวัยรุ่นอายุ 17 ปี (รุ่นราวคราวเดียวกับโฮดากะ) ที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนและต่อต้านสังคม แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ หนังสือเล่มนี้มีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรหลายคนรวมถึงมีส่วนพัวพันกับคดีฆาตกรรมจอห์น เลนนอนด้วย จนทำให้หนังสือเล่มนี้เคยถูกแบนในหลายๆ ประเทศ ซึ่งภาพสะท้อนเชิงอคติที่มีต่อวัยรุ่น มันก็ถูกสะท้อนในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
![](http://www.borkormee.com/wp-content/uploads/2019/09/5z1iar8of4831-1024x576.jpg)