สำหรับผม Bullbuster เป็นอนิเมที่ถูก underrated จนเกินไปในซีซันนี้ ผลงานเรื่องนี้สร้างจากนิยายไซไฟของ Hiroyuki Nakao ที่มีความยาว 3 เล่มจบ และวาดภาพประกอบโดย Kubonouchi Eisaku (คาแรกเตอร์ดีไซน์ของ Carole & Tuesday) และถูกสร้างเป็นอนิเมโดย Studio NUT ที่บ้านเราไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก แต่ค่ายนี้ก็กำลังจะมีผลงานที่กำลังจะได้ฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราคือเรื่อง Blue Giant ที่มีกำหนดฉายในไทยมกราคมปีหน้า (ถ้าไม่เลื่อนอีก)
Bullbuster เป็นเรื่องราวของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อนามิโดเมะ ที่ทำหน้าที่กำจัดสัตว์รบกวนบนเกาะริวกัง ที่เกิดปัญหาสัตว์รบกวนจนชาวบ้านอยู่ไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วสัตว์รบกวนที่ว่านั่นกลับเป็นสัตว์ประหลาดจำนวนมากที่กำลังยึดครองเกาะอยู่ บริษัทนามิโดเมะจึงต้องใช้หุ่นยนต์ที่เรียกว่า Bullbuster ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยงบประมาณจำกัดจำเขี่ยเพราะเปิดเผยเรื่องสัตว์ประหลาดให้โลกรู้ไม่ได้พร้อมกับไขปริศนาความลับของสัตว์ประหลาดว่ามีที่มาอย่างไร แต่ความจริงนั้นมันกลับยุ่งยากกว่าที่เราคิดเยอะ
โทนเรื่องนั้นคล้ายกับแพทเลเบอร์กับไดการ์ดผสมกัน คือเป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันของเหล่าพนักงานในบริษัทนามิโดเมะซึ่งแต่ละคนก็มีบุคลิกที่โดดเด่นและหลากหลายจนผมว่าเรื่องนี้เหมือนจะไม่มีตัวเอกหลักด้วยซ้ำ (ถ้าตามท้องเรื่อง ตัวเอกคือ โอคิโนะ แต่ นิไคโด นารุมิ คือคนที่ขึ้นปกนิยายเล่ม 1) เนื้อเรื่องก็ไม่ได้เน้นไปที่การสู้กับสัตว์ประหลาดอย่างเดียว แต่ยังต้องแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งในเรื่องงบประมาณ (ญี่ปุ่นใช้คำว่า การต่อสู้ระหว่าง Kaibutsu สัตว์ประหลาด กับ Cost หรือต้นทุน) ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท ชาวบ้าน ไปจนถึงนายทุน พร้อมกับสืบหาต้นตอที่แท้จริงของสัตว์ประหลาด ซึ่งทำให้ขอบเขตเนื้อหามันไปไกลเกินกว่าเกาะเล็กๆ และทำให้อนิเมเรื่องนี้มันลึกซึ้งและไปไกลยิ่งกว่าหุ่นยนต์ตีกับสัตว์ประหลาดทั่วไป
การออกแบบเครื่องจักรในเรื่อง ก็ทำได้ Realistic ยิ่งกว่าอนิเมเรียลโรบ็อตทั่วไป คือ Bullbuster ก็เหมือนกับหุ่นยนต์ต้นแบบในยุคนี้ที่เราเริ่มเห็นมีตัวตนในโลกความเป็นจริงเอามาติดอาวุธในระดับพลเรือน ซึ่งมันอาจจะดูไม่เท่ แต่มันก็ดูสมจริง และยังมีมุกล้อเลียนอนิเมหุ่นยนต์ที่ทำให้แฟนการ์ตูนแนวซูเปอร์โรบ็อตพอได้ขำบ้าง ส่วนงานอนิเมนั้นแม้ CG อาจจะดูลอยๆ บ้าง โดยเฉพาะพวก CG สัตว์ประหลาดที่จริงๆ แอบหวังให้ทำออกมาดีกว่านี้ (เห็นฝรั่งบ่นกันพอสมควร) แต่ในส่วนอื่นผมว่างานภาพออกมาโอเคเลยนะ สวย เนียน ไม่ค่อยเผา จนแปลกใจว่านี่งานสตูดิโอเล็กๆ จริงหรือ (แม้ลึกๆ จะมี Kadokawa อยู่เบื้องหลังโปรเจคนี้ก็เถอะ)
แต่ด้วยความ Real ของเนื้อเรื่อง และงานออกแบบที่ดูไม่เท่ ไม่คูล บวกกับเรื่องราวของชีวิตลุงๆ พนักงานกินเงินเดือน ซึ่งเอาจริงๆ มันน่าจะเป็นอนิเมแนวที่จะถูกใจตลาดอนิเมยุคนี้เท่าไหร่ (และว่ากันตามตรง บางตอนมันก็เดินเรื่องอืดจริงๆ จนผมแอบกดเร่งสปีดตอนดูเหมือนกัน) ผลที่ออกมาในบ้านเราก็คือแม้ Ani-One จะทำซับไทยออกมาให้ดูฟรี แต่ยอดวิวออกมาต่ำต้อยติดดิน ถึงขนาดบางตอนไม่ถึง 2K ด้วยซ้ำ เห็นแล้วโคตรสงสารคนทำซับเลย ซึ่งก็ถือว่าน่าเสียดายครับ ถ้าอนิเมเรื่องนี้จะถูกมองข้ามไป คืออาจจะไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม เพราะเอาจริงๆ พล็อตมันแม้จะซับซ้อนแต่ก็พอเดาเรื่องได้ไม่ยาก แต่มันก็ไม่แย่จนถึงขั้นถูกเมิน เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาช่วงหยุดปีใหม่ก็อยากแนะนำให้หามาดูกันนะ มีให้ดูฟรีใน youtube ไปลองกันได้