ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่: ศึกปราสาทไร้ขอบเขต – องก์ที่ 1 การกลับมาของอาคาสะ ซึ่งถือเป็นดาบพิฆาตอสูรฉบับภาพยนตร์เวอร์ชั่นล่าสุด ที่ประกาศสร้างเป็นไตรภาค ได้เริ่มเปิดฤกษ์ฉายในโรงภาพยนตร์ไทยแล้วในวันนี้ และมีการจัดรอบพิเศษไปเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งตัวผมก็ได้มีโอกาสไปชมกับเขาด้วย

สำหรับเนื้อเรื่องในภาคนี้ จะมีเนื้อหาต่อจากภาค การสั่งสอนของเสาหลัก ซึ่งจะนำไปสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของหน่วยพิฆาตอสูร กับมุซันและเหล่าอสูรข้างขึ้นที่ปราสาทไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นฐานทัพของเหล่าอสูร โดยตัวภาพยนตร์จะไม่มีการเกริ่นนำย้อนความหลังอะไรให้เสียเวลา เปิดมาก็ซัดกันเลย เป็นการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างพวกทันจิโร่ เสาหลัก และอสูรข้างขึ้น พร้อมกับตามหามุซันที่ซ่อนตัวอยู่ในปราสาทที่แสนซับซ้อนให้เจอ

เนื่องจากเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ตัวหนังโรงจึงเต็มไปด้วยฉาก Climax เน้นๆ พร้อมกับการเปิดเผยเรื่องราวของตัวละครทั้งสองฝั่ง (อสูร-เสาหลัก) ซึ่งเป็นสไตล์การเล่าเรื่องของซีรีส์นี้ คือทั้งฝั่งตัวเอก เสาหลัก และอสูร ต่างก็มีภูมิหลังที่ซับซ้อน รันทด และถูกกดทับจากความอยุติธรรมในสังคม ซึ่งนั่นทำให้ตัวละครในเรื่องล้วนมีมิติ น่าสนใจ และบางครั้งก็น่าเห็นใจ (แต่ก็อาจจะยกเว้นบางคนนะ)

เนื่องจากเนื้อหาแบ่งเป็นไตรภาค ดังนั้นในไตรภาคแรกตัวละครหลักหลายๆ คนจึงอาจไม่มีบทเด่นมากนัก โดยในไตรภาคแรกจะโฟกัสไปที่เรื่องราวของอาคาสะ อสูรข้างขึ้นลำดับที่ 3 ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งในภาคนี้เราจะได้รู้จักภูมิหลังความเป็นมาของอาคาสะในอดีตกันแบบเต็มๆ ตามมาด้วย โดมะ อสรูข้างขึ้นลำดับที่ 2 และไคกาคุ อสูรข้างขึ้นลำดับที่ 6 ที่มีประเด็นกับเซ็นอิตสึมาก่อน

ซึ่งถ้าหากไม่เคยอ่านต้นฉบับหนังสือการ์ตูนมาก่อน บอกเลยว่า ศึกปราสาทไร้ขอบเขต เป็นการต่อสู้ที่เดาผลลัพธ์ได้ยาก มีจุดพลิกผันและมีประเด็นที่คิดไม่ถึงแทรกได้ตลอด แต่ถึงจะพอทราบเนื้อเรื่องมาก่อน ก็จะตื่นตะลึงกับการสร้างสรรค์งานภาพของ UFOTABLE ที่ทำออกมาได้ดีและน่าตื่นตาตื่นใจมาก บวกกับเพลงประกอบที่มีเอกลักษณ์สไตล์ญี่ปุ่นผสมเทคโนโมเดิร์นที่ดูลงตัวกับบรรยากาศของศึกปราสาทไร้ขอบเขตที่ดูเรโทรโมเดิร์นเป็นพิเศษ ก็เลยไม่แปลกใจที่ตัวภาพยนตร์จะประสบความสำเร็จทำรายได้ถล่มทลายถึงขนาดนี้ (ในบ้านเราแว่วว่า แค่ยอดจองก็ทะลุ 20 ล้านแล้ว)

อนึ่ง ภาพยนตร์มีความยาวถึง 155 นาที รวมตัวอย่างหนังก็สามชั่วโมงพอดี ดังนั้นอย่าลืมเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะหนังแทบไม่มีจุดพักอารมณ์เลย (เป็นภาคที่มีฉากขำๆ น้อยสุด เน้นบู๊แหลก) และงานภาพที่ IMAX คือดีมากครับ แนะนำเลย แต่ด้วยงานภาพที่ละเอียดขนาดนี้ ภาคต่อไปอาจต้องรอกันนานหน่อยนะ (แต่ไม่เท่าเอวาแน่นอน ฟันธง)
