หลังจากที่มีการปล่อยตัวอย่างหนัง Sonic The Hedgehog ออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็มีกระแสความไม่พอใจเกี่ยวกับตัวอย่างหนังออกมาไม่น้อย ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการออกแบบตัวโซนิคที่ดูแล้วไม่ค่อยน่ารักเหมือนในเกมสักเท่าไหร่
ซึ่งที่ผ่านมา หนังที่สร้างจากเกมส่วนใหญ่ ก็มักจะมีการดัดแปลงอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เหล่าเกมเมอร์รู้สึกไม่พอใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เชื่อเถอะครับ ถ้าพูดถึงหนังที่ดัดแปลงเกมได้เละเทะที่สุด คงหนีไม่พ้น Super Mario Bros. ฉบับปี 1993 แน่นอน เพราะทั้งหนังและเกมมันแทบจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลย

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า มาริโอ้ คือคาแรกเตอร์จากวิดีโอเกมที่มีชื่อเสียงที่สุด และโด่งดังที่สุดในโลกตั้งแต่ยุค 80 จนถึงปัจจุบัน พอมีการนำมาริโอ้ไปสร้างเป็นหนังในตอนนั้น จึงถูกจับตามองกันมาก เพราะในยุคนั้น (1993) หนังที่สร้างจากวิดีโอเกมยังเป็นเรื่องแปลกใหม่ในวงการ ไม่มีใครทำมาก่อน ถึงมีก็ไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์แบบนี้ และหลายๆ คนก็แอบคาดหวังด้วยซ้ำว่า กระแสของหนังเรื่องนี้ จะทำให้วงการวิดีโอเกมเติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลยทีเดียว
แต่พอตัวหนังที่กำกับโดย Rocky Morton และ Annabel Jankel เปิดตัวออกมา หลายๆ คนก็ถึงอึ้งกับการตีความโลกมาริโอ้แบบใหม่เสียจนไม่เหลือเค้าเดิม ตัวเอกของเรื่อง มาริโอ้ และ ลุยจิ กลายเป็นช่างประปาชาวอิตาเลี่ยน-อเมริกันที่อาศัยอยู่ในบรูคลิน นิวยอร์ค ที่ไม่ได้กระโดดดึ๋ง ๆ ออกไปช่วยเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเห็ด แต่กลับต้องแบกปืนมาสู้กับมนุษย์ไดโนเสาร์แห่งไดโนฮัตตัน (ล้อเลียนเมืองแมนฮัตตัน) ซึ่งนำโดยเจ้าคูป้า (แปลกใจที่ไม่ได้ใช้ชื่อโบวเซอร์แบบตะวันตก แต่ใช้ชื่อคูป้า หรือคุปปะ ตามแบบญี่ปุ่น) ที่หวังจะครองโลก โดยมีกุญแจสำคัญอยู่ที่เดซี่ นักศึกษาสาว NYU ที่ลุยจิแอบหลงรักอยู่

เมื่อตัวหนังดัดแปลงเนื้อเรื่องจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม ขนาดเห็ดเพิ่มพลังสีสวยๆ ในเกมยังกลายเป็นเห็ดราเน่าๆ พลังกระโดดของมาริโอยังมาจากรองเท้าที่ถูกสร้างขึ้นมา ท่อน้ำวาร์ปที่ทั้งเก่าและโทรม แถมมีฉากขับรถตำรวจที่ดูราวกับหลุดมาจากเรื่องหมัดเทพเจ้าดาวเหนือสู้กันอีก จากเกมแอ๊คชั่นช่วยเจ้าหญิงแบบเทพนิยายก็เลยกลายเป็นหนังสยองขวัญไดโนเสาร์กลายพันธ์ุไปเลย ขนาดเจ้ายอซซี่ที่แสนน่ารักก็ยังกลายเป็นตัวอะไรไปก็ไม่รู้ สุดท้ายแฟนๆ ก็เลย “คว่ำ” หนังเรื่องนี้ ด้วยคะแนนรีวิวของ IMDB ที่ได้แค่ 4/10 และรายได้ของหนังทำไปได้แค่ 20.9 ล้านจากทุนสร้าง 48 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสมัยปี 1993 นี่ถือว่าเยอะมากเลยนะ เอาง่ายๆ หนังเรื่องนี้ ฉายปีเดียวกับ The Nightmare Before Christmas ที่ใช้ทุนสร้าง 18 ล้านเหรียญ หรือจะเทียบกับจูราสสิคปาร์ค ที่มีทุนสร้าง 63 ล้านดีล่ะ…แต่หนังไดโนเสาร์เรื่องนั้นน่ะ ทำเงินทั่วโลกทะลุพันล้านเลยนะ…

นอกจากนี้ เมื่อปี 2011 นิตยสาร The Guardian ได้เคยสัมภาษณ์ บ๊อบ ฮอสกิน ผู้เคยรับบทมาริโอ้ (ตอนนั้นอายุ 68 ปี ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ว่า “ผลงานที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาคืองานอะไร?” , “อะไรคือสิ่งที่คุณรู้สึกผิดหวังครั้งใหญ่ที่สุด?”, และ “ถ้าหากย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ อยากกลับไปแก้ไขเรื่องไหน?” ซึ่งฮอสกินได้ตอบกับทีมงานทั้งสามคำถามว่า “Super Mario Bros.” แถมเจ้าตัวยังเคยบ่นด้วยความน้อยใจว่า “มันเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาเลยนะ ผิดกับตัวเกมที่ออกมาเมื่อไหร่ก็โกยเงินถล่มทลายทุกปี”

ซึ่งนั่นทำให้จนถึงตอนนี้ ก็เลยไม่มีใครคิดจะลองของเอาซูเปอร์มาริโอ้มาสร้างเป็นหนังอีก กระทั่ง Illumination Entertainment มีแผนที่จะเอามาริโอ้กลับมาทำหนังโรงอีกครั้งในแบบอนิเมชั่น โดยคาดว่าแฟนๆ น่าจะได้ชมกันในปี 2022 และงานนี้ทาง Illumination ก็ไม่พลาดที่จะเชิญคุณ มิยาโมโตะ ชิเงรุ บิดาแห่งเกมมาริโอ้ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างด้วย เพราะหลายฝ่ายมองว่า ที่หนังคราวก่อน (1993) มันเจ๊ง ก็เพราะคุณมิยาโมโตะไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยนี่แหละ มันก็เลยออกมาแปลกประหลาดอย่างที่เห็น

แต่งานนี้จะออกมาแบบไหน จะถูกใจแฟนๆ หรือไม่ ก็คงต้องรอถึงปี 2022 โน่นล่ะนะ ส่วนปีนี้ก็รอดู Pokémon Detective Pikachu กับ Sonic The Hedgehog ไปก่อนละกัน เรื่องแรกก็น่าจะออกมาดีแหละ ส่วนเรื่องหลังอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้…อย่างน้อยก็มีจิม แครี่ย์ล่ะนะ
ปล.ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ว่าหนังเป็นยังไง เชิญกดดูตัวอย่างได้เลยครับ