Dragon Ball Super: Super Hero เป็นภาพยนตร์อนิเมดราก้อนบอลลำดับที่ 21 ที่ออกฉายหลังจากภาคก่อน (Broly) 3 ปี ซึ่งภาคนี้ทางทีมงานเปลี่ยนมาทำอนิเมในแบบ CGI เต็มรูปแบบ (ยกเว้นบางซีนที่เอาภาพจากภาคทีวีมาใช้) และภาคนี้ โทริยามะ อากิระ ยังเป็นคนวางคอนเซปต์ของเรื่องและออกแบบตัวละครใหม่เองด้วย
โดยไทม์ไลน์ของเรื่อง ก็จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดหลัง Dragon Ball Super: Broly โดยในภาคนี้ ปัง ลูกสาวของโกฮังจะมีอายุ 3 ขวบ โดยแก่นของเรื่องมันเป็นสิ่งที่หลายๆ คนรวมถึงปังสงสัยว่า โกฮัง พ่อของตนนั้นเก่งจริงหรือเปล่า เพราะเคยมีคนพูดกันว่า หากโกฮังเอาจริงแล้วจะเก่งกว่าโกคูเสียอีก แต่โกฮังที่ปังรู้จักตั้งแต่เกิด ก็คือคุณพ่อนักวิชาการที่หมกหมุ่นกับเรื่องแมลงจนพี่เลี้ยงตระกูลซุนอย่างพิคโกโร่ถึงกับอารมณ์เสียว่า แค่ไปรับลูกจากโรงเรียนโกฮังมันยังไม่ยอมทำเลย (ก็พอๆ กับที่โกคูหมกมุ่นกับการต่อสู้จนไม่สนใจลูกนั่นแหละ)
อีกฝั่งหนึ่ง ดร.เฮโด้ หลานชายของ ดร.เกโร่ ที่ว่ากันว่าเก่งกว่า ดร.เกโร่ก็มาเข้าร่วมกับกองทัพโบแดง(เรดริบบ้อน) และสร้างมนุษย์ดัดแปลงขึ้นมาอีกสองตัว คิอแกมม่าหมายเลข 1 และ 2 ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเนื่องจาก ดร.เฮโด้ใส่ความชื่นชอบในซูเปอร์ฮีโร่ลงไปในมนุษย์ดัดแปลงทั้งสองตัวด้วย โดยเป้าหมายของกองทัพโบแดงก็คือทวงคืนความยิ่งใหญ่และจัดการกับเหล่าก้างขวางคอทั้งหลายเพื่อที่จะครองโลก โดยเป้าหมายแรกๆ ก็คือ เล่นงานพิคโกโร่และโกฮัง
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ จากข้อมูลที่ออกมาทั้งหมดก่อนหนังฉายนั้นทีมงานปิดบังความลับของเรื่องได้ดีครับ คือที่เราเห็นในตัวอย่างน่ะ มันคือเหตุการณ์แค่ครึ่งเรื่องเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งคือความลับที่ปิดไว้ (แต่หลายๆ คนอาจรู้แล้ว เพราะหนังฉายต่างประเทศมาสักพักแล้ว) ดังนั้นผมคงไม่ขอเฉลยว่า เรื่องนี้จริงๆ ใครสู้กับใคร และใครคือบอสลับตัวจริง แต่ผมค่อนข้างชอบการวางโครงเรื่อง คาแรกเตอร์ ที่มีความเป็นโทริยามะสูงมาก คือมีทั้งอารมณ์ขัน และแอ๊คชั่นที่รุนแรงหนักหน่วง รวมถึง Easter Eggs ที่ซ่อนอยู่ในเรื่องค่อนข้างเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการ Reference มาจากดราก้อนบอลภาคเก่าๆ นั่นแหละ อนิเมเรื่องนี้จึงทำออกมาได้ถูกใจแฟนๆ ดราก้อนบอล รวมถึงคำวิจารณ์จากนักวิจารณ์ก็ออกไปในทางบวกด้วย
ทว่าประเด็นหนึ่งที่ผมสนใจก็คือ แม้ภาพยยตร์เรื่องนี้จะทำรายได้ที่ญี่ปุ่นไปถึง 2,300 ล้านเยน ซึ่งจริงๆ ก็เยอะ แต่พอเทียบกับ Dragon Ball Super: Broly ที่ทำรายได้ไปกว่า 4 พันล้านเยน ก็ทำให้หลายคนมองว่า Dragon Ball Super: Super Hero สู้ภาคก่อนไม่ได้ ทว่าพอเรื่องนี้ไปฉายฝั่งอเมริกา ตัวหนัวกลับทำรายได้เปิดตัว 3 วันไปถึง 20.1 ล้านเหรียญสหรัฐทะยานขึ้นอันดับ 1 Box Office ไปได้อย่างสบายๆ และถึงตอนนี้ก็เป็นอนิเมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 6 ตลอดกาลในฝั่งอเมริกาด้วย จนดูเหมือนว่ากระแสตอบรับที่อเมริกาอาจจะดีกว่าฝั่งญี่ปุ่นเสียด้วยซ้ำ
ซึ่งสาเหตุนั้นผมก็คิดว่าทางทั่งญี่ปุ่นเองอาจยังไม่นิยมอนิเมในรูปแบบ CGI กันมากนัก ถ้าเป็นเรื่องที่ทำเป็น CGI แต่แรกเริ่มก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่สำหรับดราก้อนบอลที่เราดูแบบ 2D มาตลอดนับสิบๆ ปี พอปรับมาเป็น CGI มันก็รู้สึกแปลกๆ ตาพอควร ซึ่งตอนที่ผมดูช่วงแรกๆ ภาพมันก็ไม่ได้เนียนตามากนัก ให้ความรู้สึกเหมือน CG เกมมากกว่า แต่พอผ่านไปสักครึ่งเรื่องผมกลับเริ่มรู้สึกชินและยอมรับได้นะ โดยเฉพาะฉากต่อสู้ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีเลยครับ ดูแปลกใหม่และอลังการมากครับ คือเอาจริงๆ CGI มันก็มีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งนั่นแหละ
และอีกส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะตัวเอกของภาคนี้ไม่ใช่โกคู แต่เป็นโกฮังและพิคโกโร่ ซึ่งแฟนๆ ดราก้อนบอลส่วนหนึ่งอาจจะอยากเห็นโกคูออกมาสู้มากกว่า แต่ตัวอนิเมก็ให้เหตุผลได้โอเคครับว่า โกคูกับเบจิต้าทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาช่วย ซึ่งเอาจริงๆ ผมว่าถ้าโกคูกับเบจิต้ามา เรื่องอาจจะจบเร็วกว่าที่คิดก็ได้ เพราะสเกลพลังของทั้งสองคนผมว่ามันไปไกลมากแล้ว และก็อย่างที่บอกแต่แรก นี่เป็นหนังของโกฮังกับพิคโกโร่ โดยเฉพาะพิคโกโร่ที่เด่นมากและกลับมาเป็นตัวเอกจริงๆ เสียทีหลังจากรับบทตัวรอมาตั้งแต่การถือกำเนิดของซูเปอร์ไซย่าในการ์ตูนเรื่องนี้ จนเราอาจจะลืมไปแล้วว่า พิคโกโร่เจ้าเล่ห์และเก่งแค่ไหน รวมถึงมุมน่ารักๆ ในฐานะพี่เลี้ยงประจำตระกูลซุนด้วย(ฮา)
เอาเป็นว่า ถ้าชอบดราก้อนบอล ชอบโกฮัง ชอบพิคโกโร่ คิดถึงความสัมพันธ์ของคู่นี้ ชอบมุกตลกโบ๊ะบ๊ะแบบฉบับโทริยามะ คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ในเรื่อง ก็ไปดูเถอะครับ ผมว่าสนุกกว่าหนังดราก้อนบอลหลายๆ ภาคเลยนะ แต่แนะนำว่า ควรดู Dragon Ball Super: Broly มาก่อน เพราะมันจะมีอ้างอิงถึงเรื่องนี้นิดหน่อยด้วย แต่ถ้าไม่เคยดูก็ไม่เป็นไร แค่อาจจะมีจุดที่สงสัยอยู่บ้าง แต่ถ้าดูมาก่อนก็จะสนุกขึ้นครับ