That Time I Got Reincarnated as a Slime the Movie: Scarlet Bond หรือชื่อไทย เกิดใหม่ทั้งทีก็เป็นสไลม์ไปซะแล้ว เดอะมูฟวี่ : สายสัมพันธ์สีชาด ถือเป็นหนังโรงชุดแรกของ เกิดใหม่ทั้งทีก็เป็นสไลม์ฯ ที่ถือว่าเป็นอนิเมแนวต่างโลกเรื่องหนึ่งที่ดังมากๆ จากนิยายกลายเป็นหนังสือการ์ตูน อนิเม OVA และล่าสุดก็หนังโรง ที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จและดูดีมีอนาคต กวาดรายได้ไปกว่าพันสามร้อยล้านเยน แถมยังได้ไปฉายต่างประเทศอีกด้วย

โดยในส่วนของเนื้อเรื่องภาคนี้ จะต่อจากอนิเมภาคล่าสุด (ซีซันสอง) ที่ริมุรุตัวเอกของเรื่องได้ขึ้นเป็นจอมมาร และได้รับการยอมรับจากจอมมารคนอื่นๆ แล้ว โดยเนื้อเรื่องในภาคนี้จะเป็นเนื้อเรื่องใหม่ที่ผู้เขียนนิยาย (Fuse) แต่งขึ้นเพื่อทำเป็นหนังโรงโดยเฉพาะด้วย โดยเนื้อหาจะพูดถึง ฮิอิโระ หนึ่งในผู้เหลือรอดจากเผ่าโอเกอร์ซึ่งตอนที่หมู่บ้านโอเกอร์ถูกถล่มนั้นเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเพราะไปเป็นทหารรับจ้างและถูกเล่นงานเหลือรอดแค่ตัวฮิอิโระคนเดียว ซึ่งจริงๆ ก็เกือบจะไม่รอดแล้วแหละ แต่ฮิอิโระโชคดีที่ได้ โทวะ ราชินีแห่งราจะ ใช้พลังของมงกุฎวิเศษช่วยชีวิตเอาไว้ด้วยการ “ตั้งชื่อ” ให้ฮิอิโระ ทำให้ฮิอิโระมีพลังเพิ่มขึ้นและเอาชีวิตรอดมาได้

ในอนิเมภาคแรก เราเห็นริมุรุตั้งชื่อให้มอนสเตอร์จำนวนมากจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่อันที่จริงการตั้งชื่อนั้นเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ที่ใช้พลังชีวิตมหาศาลมาก ตัวโทวะเองก็สูญเสียพลังจนล้มป่วย ซึ่งจริงๆ โทวะเองก่อนนั้นก็แทบไม่เหลือพลังชีวิตอยู่แล้ว เพราะประเทศราจะนั้นเป็นประเทศที่ทำเหมืองทองจนเกิดปัญหามลพิษซึ่งต้องใช้พลังของโทวะและมงกุฎในการขจัดมลพิษ แต่ก็ได้แค่เพียวชั่วคราวเท่านั้น แถมโทวะยังโดนคำสาปของมงกุฎด้วย ด้วยเหตุนี้ฮิอิโระที่ได้ทราบเรื่องราวข่าวลือของริมุรุจึงคิดจะไปขอความช่วยเหลือ โดยแรกเริ่มคิดแค่ว่าจะไปขอถางป่าจูร่าเพื่อขยายพื้นที่เกษตรให้ชาวบ้านเท่านั้น แต่พอริมุรุทราบเรื่องก็เข้ามาแทรกแซงปัญหาในประเทศราจะทันที

และจากชื่อเรื่อง สายสัมพันธ์สีชาด ก็พอจะบอกได้ว่า เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับพวกโอเกอร์ เพราะตัวฮิอิโระเองก็เป็นเสมือนพี่ใหญ่ของเบนิมารุและคิดว่าพวกเบนิมารุน่าจะโดนจัดการไปหมดแล้ว พอได้เจอเบนิมารุอีกครั้งก็รู้สึกดีใจและยอมรับในตัวริมุรุที่เป็นคนช่วยเหลือพวกโอเกอร์ทันที ซึ่งตอนแรกผมคิดว่า หนังโรงน่าจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮิอิโระกับเบนิมารุเป็นหลัก แต่ไม่ใช่ครับ เอาจริงๆ บทเบนิมารุในเรื่องนี้ไม่ได้เด่นอะไรคขนาดนั้น ในเรื่องจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของฮิอิโระและโทวะมากกว่า ส่วนเรื่องราวของเบนิมารุนั้นเหมือนจะเป็นประเด็นรองลงไป

และคนที่ขโมยซีนในเรื่องจริงๆ สำหรับผมก็คือเดียโบลครับ แม้บทเดียโบลจะน้อย แต่เด่นมาก และกลายเป็นคีย์สำคัญหนึ่งในภาคนี้เฉยเลย บทบาทของเดียโบลในภาคนี้จะช่วยให้เราเข้าใจจักรวาลของเรื่องนี้มากขึ้นด้วย ส่วนตัวละครอื่นๆ ที่แฟนๆ ชื่นชอบ อย่างจอมมารมิริมหรือเวลโดร่า ก็มีบทออกมาให้พอเป็นสีสันได้บ้างแม้จะไม่มากนัก เพราะด้วยข้อจำกัดของความเป็นหนังโรงก็คงจะให้ตัวละครในเรื่องมีบทบาทครบคงไม่ไหว แต่ตัวหลักๆ ก็ได้ปรากฎตัวกันครบนะ

โดยสรุป สำหรับแฟนๆ สไลม์ เรื่องนี้ถือเป็นจุดเชื่อมต่อและตัวคั่นเวลาที่ดีก่อนที่ซีซัน 3 จะออนแอร์ (เมื่อไหร่ไม่รู้) และด้วยผู้เขียนมาแต่งเรื่องเองก็ยิ่งทำให้เนื้อเรื่องในภาคนี้ยังคงอยู่ในเนื้อเรื่องหลักที่แฟนๆ ควรจะต้องดูครับ จุดด้อยก็มีบ้างตรงที่งานภาพนั้นไม่ได้โดดไปจากภาคทีวีซีรี่ส์สักเท่าไหร่ (แต่ทีวีซีรี่ส์ทำมาโอเคด้วยแหละ โดยตัวหนังโรงก็ยังผลิตโดยสตูดิโอ 8-bit เช่นเดิม) ส่วนความสนุกน่ะโอเคเลยครับ ได้เห็นริมุรุโชว์เทพในฐานะจอมมารแบบเต็มๆ หลังจากที่ที่วีซีรี่ส์ภาคก่อนหมดไปกับการประชุมเยอะไปหน่อย (ฮา) แนะนำว่าให้ไปดูกันนะครับ เพราะหนังโรงหลายๆ เรื่องที่เข้าฉายบ้านเรานี่ ไม่รู้จะได้ดูในช่องทางอื่นกันหรือเปล่า บางเรื่องฉายแล้วหายไปเลยก็มี ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็ไปดูกันเถอะครับ