หลังจากลุ้นกันมานาน ในที่สุดคนไทยก็ได้ดู Godzilla Minus One ผลงานกำกับของ Takashi Yamazaki ผู้กำกับ Always: Sunset on Third Street และ Stand by Me Doraemon กันเสียที ท่ามกลางความข้องใจของใครหลายๆ คนว่า ทำไมก็อตซิลล่าภาคนี้ไม่เข้าโรงในไทยและประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศ ทั้งที่มันน่าจะเป็นก็อตซิลล่าฉบับญี่ปุ่นที่ดังที่สุด ก็ดังขนาดไปกวาดรายได้ในอเมริกาและคว้ารางวัลออสการ์มาได้ คือถ้ามาฉายในบ้านเรา ยังไงก็ทำเงินแน่นอน…แปลกใจไหมล่ะ
สิ่งที่ต้องบอกกล่าวกันก็คือ แม้จะเป็นหนังก็อตซิลล่า แต่ไมนัสวันก็เป็นหนังที่มีลายเซ็นของ Takashi Yamazaki ค่อนข้างชัดครับ โดยหนังบอกเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลก ตัวเอก ชิกิชิมะ โคสุเกะ เป็นนักบินหน่วยพิเศษ (คามิคาเซ่) ที่จริงๆ เขาควรจะต้องพลีชีพในสนามรบ แต่เขากลับรอดตายมาและได้เผชิญหน้ากับก็อตซิลล่าที่เกาะโอโดะแล้วก็รอดมาได้อีก ในขณะที่ทหารญี่ปุ่นที่อยู่ที่เกาะโอโดะนั้นตายเกือบยกเกาะ ทำให้ ทาจิบานะ หนึ่งในทหารที่เป็นช่างเครื่องที่อยู่ที่เกาะนั้นโทษว่าเป็นความผิดของชิกิชิมะที่ไม่ยอมสังหารสัตว์ประหลาดตัวนั้นทั้งที่ชิกิชิมะสามารถทำได้
เมื่อเขากลับมาถึงโตเกียวที่ราบเป็นหน้ากลอง เขาก็ได้พบกับโนริโกะ ผู้หญิงที่อุปการะอากิโกะเด็กผู้หญิงวัยทารกที่สูญเสียพ่อแม่ไปจากภัยสงคราม ทั้งสามจึงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวหลอกๆ เพราะชิกิชิมะยังมีแผลในใจทำให้ไม่กล้าที่จะคบกับโนริโกะจริงจัง ทว่าความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อก็อตซิลล่าที่ชิกิชิมะเคยพบที่เกาะโอโดะกลับมาขึ้นฝั่งที่โตเกียว ตัวใหญ่ขึ้น และมีพลังทำลายล้างระดับนิวเคลียร์ ในสภาพที่ญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะเซ็ทซีโร่ ถูกปลดอาวุธ ไม่มีกองทัพ แย่ยิ่งกว่าศูนย์เข้าขั้นติดลบ (ไมนัสวัน) ซึ่งแทบไม่อาจต่อกรกับพลังอำนาจของก็อตซิลล่าได้เลย
“สงครามของพวกเรามันยังไม่จบ” น่าจะเป็นธีมของก็อตซิลล่าภาคนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่การแก้กรรมของชิกิชิมะ ตัวเอกของเรื่อง แต่เป็นการแก้กรรมของญี่ปุ่น เพราะสิ่งที่ก็อตซิลล่าต้องต่อสู้ในภาคนี้ คือจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ที่กำลังตกอยู่ในคำถามที่ว่า ญี่ปุ่นจะทำสงครามไปทำไม เราให้ความสำคัญกับชีวิตคนน้อยไปหรือเปล่า ซึ่งคนอย่างชิกิชิมะที่จริงๆ ต้องพลีชีพในสนามรบ พอกลับมาก็ถูกเหยียดหยาม ดูถูกว่าทรยศประเทศชาติ ทว่าเมื่อเป็นการต่อสู้กับก็อตซิลล่า เขาก็ตัดสินใจที่จะสู้จนตัวตายจริงๆ เพราะคราวนี้ เขามีอากิโกะต้องปกป้อง ไม่ใช้เพื่อประเทศ แต่เพื่อรักษาอนาคตของอากิโกะเอาไว้
ฉากใหญ่ของเรื่องในภาคนี้ จึงไม่ใช่การต่อสู้กันในโตเกียว แต่เป็นการต่อสู้กันในทะเล กับจิตวิญญาณกองทัพญี่ปุ่น ในวันที่ไม่มีกองทัพ มีแต่ประชาชนและซากทัพที่ต้องปกป้องประเทศในยามที่ไม่เหลือใครให้พึ่งได้อีก เราจึงได้เห็นการต่อสู้ของก็อตซิลล่ากับเรือลาดตระเวณหนักทาคาโอะ และก็อตซิลล่ากับเรือพิฆาตฮิบิกิ (แฟนๆ เกม Kantai น่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว) กับเรือพิฆาตยูกิคาเสะ (เรือพิฆาตในชั้นคาเงโร่เพียงลำเดียวที่เหลือรอดจากสงครามโลกครั้งที่สอง) ในสภาพที่ถูกปลดอาวุธ และปิดท้ายด้วยการขุดเอา “ชินเด็น” เครื่องบินรบมายาในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สอง มาเป็นไม้ตายสุดท้ายในการรับมือกับก็อตซิลล่า
ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ใช่หนังก็อตซิลล่าแบบที่เราคุ้นชิน แต่เป็นหนังมิลิทารี่ที่เสนอเรื่องราวของ “อดีต” จักวรรดิญี่ปุ่นมีก็อตซิลล่าที่เป็น “นิวเคลียร์ที่มีชีวิต” เป็นคู่กรณี ที่เหมือนเป็นการย้อนตั้งคำถามต่อตัวตนของจักรวรรดิญี่ปุ่น และกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งมีประเด็นค่อนข้างอ่อนไหวจนไม่แปลกที่ทางญี่ปุ่นเองก็ไม่อยากให้หนังเรื่องนี้ได้ฉายในหลายๆ ประเทศที่เคยเป็นคู่ขัดแย้งกับจักรวรรดิญี่ปุ่นมาก่อน ซึ่งถ้าตีความกันช็อตต่อช็อต ก็อาจจะได้เห็น hidden agenda บางอย่างที่แทรกไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งที่ผู้กำกับตั้งใจและอาจจะไม่ตั้งใจ และอีกจุดหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ได้ชื่อว่าไมนัสวัน เพราะเหตุการณ์ในภาคนี่เกิดขึ้นก่อนก็อตซิลล่าภาคแรกที่สร้างและออกฉายในปี 1954 แต่เหตุการณ์ในภาคนี้เกิดในช่วงหลังปี 1945 หลังสงครามโลกจบใหม่ๆ จึงถือเป็นภาคติดลบ (ไมนัสวัน) นั่นเองครับ