ความน่าสนใจของ “เครยอน ชินจัง” สำหรับผมก็คือ มันเป็นการ์ตูนที่มีพัฒนาการจากจุดเริ่มต้นมาไกลมาก จากเดิมทีเป็นการ์ตูนล้อเลียนชีวิตครอบครัวแนวทะลึ่งตึงตัง ผลงานของผู้เขียน “ไข่กวน” ที่เคยเป็นกระแสฮือฮาในบ้านเรา กลายมาเป็นการ์ตูนชีวิตครอบครัวญี่ปุ่นที่อยู่ยืนยาวมานานกว่า 35 ปี จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นเคียงคู่กับการ์ตูนแห่งชาติอย่าง ซาซาเอะ มารูโกะ และโดราเอม่อน นอกจากนี้ยังมีการสร้างหนังโรงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1993 จนปัจจุบันชินจังมีหนังโรงออกมาแล้วถึง 33 ภาค เป็นรองโดราเอม่อนและใกล้เคียงกับโคนันที่ถือเป็นอนิเมหนังโรงขาประจำในบ้านเรา (ซึ่งหลังๆ ชินจังก็ใกล้ละ มาฉายทุกปีเลย)

จุดเด่นของหนังโรงชินจังที่ผ่านๆ มาก็คือ การโฟกัสไปที่สองประเด็นหลักของเรื่อง คือ เรื่องราวของครอบครัวโนฮาระ และกลุ่มเพื่อนๆ อนุบาลของชินจัง ซึ่งหนังโรงจะมีจุดที่แตกต่างจากภาคทีวีตรงที่จะต้องมีความ “พิเศษ” บางอย่าง เพิ่มเข้ามา เช่น มีการเดินทางไปต่างประเทศ (พ่อของชินจังเป็นครอบครัวชนชั้นกลางของญี่ปุ่น มักมีเหตุได้ไปต่างประเทศเรื่อยๆ) ได้ไปอาณาจักรหรือสถานที่ประหลาดๆ และอาจจะมีความเป็นไซไฟ หรืออภินิหารเข้ามาชูรสให้เนื้อเรื่องมีสีสันอยู่บ้าง แต่ต้องไม่ลืมความตลก เพื่อน และครอบครัวที่เป็นแกนหลักของการ์ตูนชุดนี้

สำหรับ “เครยอนชินจัง เดอะมูฟวี่ ตอน ร้อนแรงแซ่บเว่อร์! แดนเซอร์แห่งคาซึคาเบะ” นั้น พวกชินจังจะได้ไปอินเดีย ซึ่งทำไมต้องเป็นอินเดีย นอกจากพล็อตตามเนื้อเรื่องที่พวกชินจังชนะการประกวดได้ไปเต้นที่อินเดียแล้ว ก็พูดกันตามตรงว่า การ์ตูนชินจังน่ะดังในอินเดียมากๆ ครับ งานนี้ทีมงานก็เลยตั้งใจจะตีตลาดอินเดียแบบจริงจังเลย และทีมงานก็ทำการบ้านเกี่ยวกับอินเดียมาดีมากด้วย ไม่ใช่แค่มุกแกงกะหรี่ (ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมประจำบ้านของเด็กญี่ปุ่น) แต่เก็บรายละเอียดของประเทศอินเดียในปัจจุบันได้น่าสนใจ ไม่ใช่อินเดียแบบโบราณหรืออินเดีย Stereotype แบบเหมารวม แต่ก็มีบรรยากาศสนุกสนานแบบเหนือจริงเข้ามาแทรกบ้าง เพราะอย่างไรเสีย นี่ก็เป็นการ์ตูนตลก!

และนั่นก็ก็กลายเป็นจุดที่ทำให้ผมตกใจในความกล้าของทีมงาน ก็คือการทำให้ชินจังภาคนี้กลายเป็นหนังเพลงครับ แบบที่เราคุ้นเคยกันในหนังอินเดียที่เอะอะก็ร้อง เอะอะก็เต้นระบำน่ะ ภาคนี้พวกชินจังก็เลยร้องเต้นกันแบบบันเทิงมากยังกะการ์ตูนดิสนีย์ แถมทีมพากย์ไทยก็บ้าพลังพอที่จะร้องเพลงไทยกับเขาด้วย และทำได้ดีมากด้วย มีทั้งไปขุดเพลงชินจังในตำนานมาร้อง และเล่นมุกล้อเพลงจากหนังฮอลลีวูดสุดดังยุค 80s เพลงหนึ่งที่ผมชอบมาก (เป็นมุกปีลึกพอสมควร ไปดูเอาละกัน เดี๋ยวหาว่าสปอยล์)

ส่วนพล็อตเนื้อเรื่อง ที่คราวนี้ให้ “โบจัง” กลายเป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง (จริงๆ ก็เหมือนเป็นบอสใหญ่ในภาคนี้เลย) ผมว่าน่าสนใจนะ คือที่ผ่านมา ในตัวละครเด็กยอดนิยม เราจะนึกถึง ชินจัง คาซามะ เนเน่ ส่วนโบจังจะเป็นตัวรองๆ ลงมา เพราะบุคลิกโบจังจะช้าๆ เนิบๆ น้ำมูกยืดเป็นภาพจำ แต่คราวนี้จะเป็นการลงลึกเข้าไปถึงเรื่องราวของโบจัง และความผูกพันกับชินจังและเพื่อนๆ ซึ่งทำให้โบจังแม้จะเป็นตัวร้ายในภาคนี้ แต่เป็นตัวร้ายที่ดูแล้วคนดูจะรักโบจังมากขึ้น

การผสมอินเดีย เพลง มิตรภาพ และความเป็นชินจังเข้าไป ทำให้ “เครยอนชินจัง เดอะมูฟวี่ ตอน ร้อนแรงแซ่บเว่อร์! แดนซ์เซอร์แห่งคาซึคาเบะ” เป็นอนิเมที่ตอบโจทย์เรื่องความบันเทิงสำหรับครอบครัว และทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์หนังการ์ตูนชินจัง (แต่ไม่ได้ที่ 1 เพราะตอนนั้นเจอดาบพิฆาตอสูรยึดไว้อยู่) ยอดรวมถ้าจำไม่ผิดอ้างอิงจาก Box Office Mojo น่าจะอยู่ที่ 2,300 ล้านเยน ซึ่งถือว่ากระแสตอบรับที่ญี่ปุ่นดีสุดๆ ส่วนในไทยก็จะเข้าฉายในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ แนะนำว่าให้ลองไปดูกันครับ ผมชอบที่หนังชินจังมักจะพยายามหาทางทำอะไรแปลกๆ ใหม่แบบคาดไม่ถึง และหนังมันทำออกมาสนุกกว่าที่ผมคิดไว้มากๆ เลย

ปล.เหมือนคนจะไม่ค่อยพูดถึง (ขนาดรูปยังหายากมาก) แต่น้องอากิลิอาน่า สาวอินเดียนางเอกประจำภาคนี้ ที่ให้เสียงโดย เซโตะ อาซามิ (สการ์เล็ต จาก “สุดท้ายนี้ขอเพียงอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”)น่ารักมากครับ
