ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าคนในวงการอนิเมคงรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสภาวะไบโพลาร์ คึอไม่กี่วันก่อนก็มีข่าวว่าวงการอนิเมญี่ปุ่นที่ผ่านมากำลังอยู่ในสภาวะขาขึ้น ทำรายได้เข้าประเทศถล่มทลายระดับล้านล้านเยน แถมหนังอย่างดาบพิฆาตอสูร , Chainsaw Man ก็ยังสร้างสถิติใหม่ๆ ใน Box Office อเมริกา แต่ไม่กี่วันต่อมา กลับมีข่าวสตูดิโออนิเมทยอยปิดตัวมากขึ้น ข่าวสวัสดิการคนทำงานในวงการที่ถดถอย คุณภาพงานอนิเมหลายเรื่องดรอปลง ไปจนถึงคนระดับปู่มิยาซากิ ฮายาโอะ ออกมาบ่นสิ้นหวังว่า วงการอนิเมญี่ปุ่นก้าวผ่านยุคทองไปแล้ว..อะไรกันเนี่ย

ก่อนอื่น เราก็ต้องมองกันก่อนครับว่า ที่ว่าวงการอนิเมกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และทำรายได้เข้าประเทศญี่ปุ่นแบบสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นี่จริงไหม..ก็ต้องบอกว่า จริงครับ คือในช่วงสี่ห้าปีมานี้ ตลาดอนิเมญี่ปุ่นเติบโตขึ้นมาก แต่การเติบโตนั้นหลักๆ เกิดจากการที่วงการอนิเมญี่ปุ่น เริ่มเปลี่ยนเป้าหมายไปหารายได้จากตลาดต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมทีอนิเมญี่ปุ่นทำเพื่อให้คนญี่ปุ่นรับชมเป็นหลัก แต่หลังยุคโควิดทำให้ตลาดสตรีมมิ่งเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด และคนทั่วโลกต่างก็โหยหาคอนเทนต์ IP ใหม่ๆ อนิเมทุกวันนี้เลยกลายเป็นการผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศมากขึ้น การดูอนิเมแบบ Realtime พร้อมกันทั่วโลก (Simulcast) แม้กระทั่งในบ้านเราก็กลายเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ไปแล้ว

แน่นอนครับ เมื่อฐานผู้ชมอัพจากชาวเกาะร้อยล้านคนในประเทศกลายเป็นหลายพันล้านคนจากทั่วโลก มันก็ทำให้อุตสาหกรรมอนิเมเข้าสู่ยุคเพื่องฟูสุดๆ ครับ การผลิตอนิเมเพื่อส่งออกกลายเป็นมาตรฐานใหม่ แถมอนิเมยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นที่เริ่มมองเห็นมูลค่าของอุตสาหกรรมอนิเมที่เติบโตสวนทางกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซามากว่า 30 ปี จนเกิดเป็น”Cool Japan” ยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ใช้ Soft Power ผ่านวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ (ที่บ้านเราอยากจะเอาอย่างเขานี่แหละ) และอนิเม ก็เป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญที่รัฐบาลญี่ปุ่นเน้นเป็นพิเศษด้วย

เมื่ออนิเมกลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญ ผลที่ออกมาคือการเร่งผลิตอนิเมเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ผลิตอนิเมเพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์ เพื่อสปอนเซอร์ (เมอร์เชนไดส์ ของเล่น) และขายแผ่นดีวีดี การ์ตูน เกม แต่ตอนนี้กลับเป็นการผลิตเพื่อป้อนสตรีมมิ่ง เพื่อขายลิขสิทธิ์ส่งออก ที่เห็นผลตอบแทนรายได้ชัดเจน แต่ในความเป็นจริง ใช่ว่าอนิเมทุกเรื่องจะมีความนิยมที่เท่ากัน เรื่องที่ดังมันก็ดังถล่มทลายสุดๆ อย่างที่เรารู้ แต่ว่าในปีหนึ่งๆ จะมีอนิเมที่ดังๆ อยู่กี่เปอร์เซ็นต์กันล่ะ ถึง 10% หรือเปล่านะ? แล้วอนิเมอื่นๆ ที่ผลิตออกมาซีซันละ 30-40 เรื่อง รวมกันปีละร้อยกว่าเรื่อง จะมีคนดูและประสบความสำเร็จทุกเรื่องหรือเปล่า…คือรายได้ในวงการอนิเมกว่าล้านล้านเยนที่พูดกันน่ะ บางทีมันก็อยู่ในมือของอนิเมแค่ไม่ถึง 10% เท่านั้น…ส่วนที่เหลือ อาจจะแค่พออยู่ได้ ไม่ก็ขาดทุนย่อยยับ
จากจำนวนสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์อนิเมรวมทั้งหมด 301 บริษัทในปี 2023 พบว่ามีเพียง 112 บริษัทเท่านั้น ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น (เทียบกับปี 2022) หรือว่ากันตามตรงก็คือ สตูดิโอใหญ่ๆ ซึ่งมักจะมีบทบาทในฐานะผู้อำนวยการสร้าง รวมถึงดูแลจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ IP ดังๆ ต่างก็มีรายได้สูงขึ้น โดยร้อยละ 77.5 มีกำไรในระดับมั่นคงดี ในขณะที่สตูดิโอรายย่อย ซึ่งมักจะเป็นสตูดิโอเล็กที่รับช่วงผลิตงานต่อจากรายใหญ่ หรือเป็นซับให้ค่ายใหญ่ กลับมีกำไรเพียงแค่ 57% หรือพูดง่ายๆ ก็คือ สตูดิโอขนาดเล็ก 43% กำลังขาดทุนสวนทางกับอุตสาหกรรมอนิเมที่เติบโต โดยรายงานจาก Teikoku Databank ระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีสตูดิโอผลิตอนิเมที่ยุติกิจการและ ล้มละลายเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าสังเกต

ซึ่งโครงการ Cool Japan ของญี่ปุ่นตั้งได้ตั้งเป้าหมายผลักดันการส่งออกอุตสาหกรรมคอนเทนต์ อย่างอนิเมและวิดีโอเกม ให้เติบโตสูงถึง 20 ล้านล้านเยน ภายในปี 2030 โดยในส่วนของอนิเมนั้น ยาซุอิ โยสุเกะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่งสถาบันวิจัยญี่ปุ่น มองว่าการที่อุตสาหกรรมจะไปถึงจุดนั้น ญี่ปุ่นอาจต้องการอนิเมเตอร์และครีเอเตอร์มากถึง 30,000 คน แต่ในความเป็นจริง จำนวนอนิเมเตอร์มืออาชีพอาจลดลงถึง 27% จาก 6,211 คน (2019) เหลือเพียงแค่ 4,562 คน ภายในปี 2050 เนื่องจากปัญหาการทำงานที่หนัก ค่าตอบแทนต่ำ ไม่มีความก้าวหน้า แถมอนิเมเตอร์ส่วนใหญ่ยังเป็นฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสวัสดิการรองรับอีก พอคนทำงานและงบไม่พอ คนรุ่นใหม่ไม่สนใจเหลือแต่คนสูงวัย วงการอนิเมญี่ปุ่นก็ต้องจ้าง Out Source จากต่างประเทศมากขึ้น แต่ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสังเกตว่า ในช่วงปีสองปีนี้ มีอนิเมที่ประสบกับปัญหาคุณภาพงานจนต้องถูกระงับการออกอากาศมากขึ้น บางเรื่องที่เผาเกรียมยังกับ Power Point ก็พอมีให้เห็นอยู่
ในขณะเดียวกัน อนิเมจากสตูดิโอเกาหลีและจีนก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ค่าแรงต่ำกว่า แต่มีการลงทุนในตัวชิ้นงานสูงกว่า คุณภาพงานเริ่มดีขึ้น และมีตลาดใหญ่(เช่นจีน)รองรับ แม้ตอนนี้อาจจะยังเป็นฝ่ายตามหลังญี่ปุ่น แต่ก็มีโอกาสที่จะไล่หลังสตูดิโอญี่ปุ่นทัน และในบางด้านก็เริ่มแซงแล้วด้วย (เช่นในส่วนเทคโนโลยีการผลิต หรืองานด้าน CGI) ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ มิยาซากิ ฮายาโอะ มองว่ายุคทองของอนิเมญี่ปุ่นกำลังผ่านพ้นไป หากยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวงการหรือผลักดันคนรุ่นใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมนี้มากขึ้น

สรุปง่ายๆ ได้ว่า วงการอนิเมญี่ปุ่นตอนนี้เป็น “ขาขึ้น” ในเชิงตลาด (ยอดรวม + โอกาสเติบโต) แต่กลับเกิด “ขาลงในเชิงโครงสร้าง” (สตูดิโอย่อยล้ม ต้นทุนสูง แรงงานผลิตไม่พอ) ที่ทำให้อุตสาหกรรมอนิเมมีความเสี่ยง จนผู้ผลิตไม่กล้าที่จะก้าวออกจาก Safe Zone หรือกรอบความสำเร็จเดิมๆ จนทำให้เราเห็นอนิเมดังๆ หลายเรื่องยังคงออกอากาศต่อเนื่องกันหลายสิบปีไม่มีหยุด ตราบที่ยังมีฐานผู้ชมมากพอ หรืออนิเมแนวต่างโลกยังมีออกมาเรื่อยๆ เพราะมันยังพอมีคนดูและมีกำไรนั่นแหละครับ
