อนิเมญี่ปุ่นขาขึ้น แต่ทำไมคนในวงการบอกขาลง?

ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าคนในวงการอนิเมคงรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสภาวะไบโพลาร์ คึอไม่กี่วันก่อนก็มีข่าวว่าวงการอนิเมญี่ปุ่นที่ผ่านมากำลังอยู่ในสภาวะขาขึ้น ทำรายได้เข้าประเทศถล่มทลายระดับล้านล้านเยน แถมหนังอย่างดาบพิฆาตอสูร , Chainsaw Man ก็ยังสร้างสถิติใหม่ๆ ใน Box Office อเมริกา แต่ไม่กี่วันต่อมา กลับมีข่าวสตูดิโออนิเมทยอยปิดตัวมากขึ้น ข่าวสวัสดิการคนทำงานในวงการที่ถดถอย คุณภาพงานอนิเมหลายเรื่องดรอปลง ไปจนถึงคนระดับปู่มิยาซากิ ฮายาโอะ ออกมาบ่นสิ้นหวังว่า วงการอนิเมญี่ปุ่นก้าวผ่านยุคทองไปแล้ว..อะไรกันเนี่ย

อนิเมขาขึ้น แต่สตูดิโอปิดตัว?

ก่อนอื่น เราก็ต้องมองกันก่อนครับว่า ที่ว่าวงการอนิเมกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และทำรายได้เข้าประเทศญี่ปุ่นแบบสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นี่จริงไหม..ก็ต้องบอกว่า จริงครับ คือในช่วงสี่ห้าปีมานี้ ตลาดอนิเมญี่ปุ่นเติบโตขึ้นมาก แต่การเติบโตนั้นหลักๆ เกิดจากการที่วงการอนิเมญี่ปุ่น เริ่มเปลี่ยนเป้าหมายไปหารายได้จากตลาดต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมทีอนิเมญี่ปุ่นทำเพื่อให้คนญี่ปุ่นรับชมเป็นหลัก แต่หลังยุคโควิดทำให้ตลาดสตรีมมิ่งเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด และคนทั่วโลกต่างก็โหยหาคอนเทนต์ IP ใหม่ๆ อนิเมทุกวันนี้เลยกลายเป็นการผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศมากขึ้น การดูอนิเมแบบ Realtime พร้อมกันทั่วโลก (Simulcast) แม้กระทั่งในบ้านเราก็กลายเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ไปแล้ว

ตลาดอนิเมะทั่วโลกโตขึ้น 15% ในปี 2024
ตลาดอนิเมะทั่วโลกโตขึ้น 15% ในปี 2024

แน่นอนครับ เมื่อฐานผู้ชมอัพจากชาวเกาะร้อยล้านคนในประเทศกลายเป็นหลายพันล้านคนจากทั่วโลก มันก็ทำให้อุตสาหกรรมอนิเมเข้าสู่ยุคเพื่องฟูสุดๆ ครับ การผลิตอนิเมเพื่อส่งออกกลายเป็นมาตรฐานใหม่ แถมอนิเมยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นที่เริ่มมองเห็นมูลค่าของอุตสาหกรรมอนิเมที่เติบโตสวนทางกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซามากว่า 30 ปี จนเกิดเป็น”Cool Japan” ยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ใช้ Soft Power ผ่านวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ (ที่บ้านเราอยากจะเอาอย่างเขานี่แหละ) และอนิเม ก็เป็นหนึ่งใน Soft Power สำคัญที่รัฐบาลญี่ปุ่นเน้นเป็นพิเศษด้วย

รายได้ของดาบพิฆาตอสูร
รายได้ของดาบพิฆาตอสูร

เมื่ออนิเมกลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญ ผลที่ออกมาคือการเร่งผลิตอนิเมเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ผลิตอนิเมเพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์ เพื่อสปอนเซอร์ (เมอร์เชนไดส์ ของเล่น) และขายแผ่นดีวีดี การ์ตูน เกม แต่ตอนนี้กลับเป็นการผลิตเพื่อป้อนสตรีมมิ่ง เพื่อขายลิขสิทธิ์ส่งออก ที่เห็นผลตอบแทนรายได้ชัดเจน แต่ในความเป็นจริง ใช่ว่าอนิเมทุกเรื่องจะมีความนิยมที่เท่ากัน เรื่องที่ดังมันก็ดังถล่มทลายสุดๆ อย่างที่เรารู้ แต่ว่าในปีหนึ่งๆ จะมีอนิเมที่ดังๆ อยู่กี่เปอร์เซ็นต์กันล่ะ ถึง 10% หรือเปล่านะ? แล้วอนิเมอื่นๆ ที่ผลิตออกมาซีซันละ 30-40 เรื่อง รวมกันปีละร้อยกว่าเรื่อง จะมีคนดูและประสบความสำเร็จทุกเรื่องหรือเปล่า…คือรายได้ในวงการอนิเมกว่าล้านล้านเยนที่พูดกันน่ะ บางทีมันก็อยู่ในมือของอนิเมแค่ไม่ถึง 10% เท่านั้น…ส่วนที่เหลือ อาจจะแค่พออยู่ได้ ไม่ก็ขาดทุนย่อยยับ

จากจำนวนสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์อนิเมรวมทั้งหมด 301 บริษัทในปี 2023 พบว่ามีเพียง 112 บริษัทเท่านั้น ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น (เทียบกับปี 2022) หรือว่ากันตามตรงก็คือ สตูดิโอใหญ่ๆ ซึ่งมักจะมีบทบาทในฐานะผู้อำนวยการสร้าง รวมถึงดูแลจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ IP ดังๆ ต่างก็มีรายได้สูงขึ้น โดยร้อยละ 77.5 มีกำไรในระดับมั่นคงดี ในขณะที่สตูดิโอรายย่อย ซึ่งมักจะเป็นสตูดิโอเล็กที่รับช่วงผลิตงานต่อจากรายใหญ่ หรือเป็นซับให้ค่ายใหญ่ กลับมีกำไรเพียงแค่ 57% หรือพูดง่ายๆ ก็คือ สตูดิโอขนาดเล็ก 43% กำลังขาดทุนสวนทางกับอุตสาหกรรมอนิเมที่เติบโต โดยรายงานจาก Teikoku Databank ระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีสตูดิโอผลิตอนิเมที่ยุติกิจการและ ล้มละลายเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าสังเกต

korozawa Sakura Town โครงการร่วมระหว่าง KADOKAWA สำนักพิมพ์ชื่อดังของญี่ปุ่น กับ เมืองโทโคโรซาวะ ภายใต้แนวคิด “COOL JAPAN FOREST” ที่ต้องการสร้างแหล่งรวมวัฒนธรรม สร้างสรรค์ และธรรมชาติให้เป็นหนึ่งเดียว
korozawa Sakura Town โครงการร่วมระหว่าง KADOKAWA สำนักพิมพ์ชื่อดังของญี่ปุ่น กับ เมืองโทโคโรซาวะ ภายใต้แนวคิด “COOL JAPAN FOREST” ที่ต้องการสร้างแหล่งรวมวัฒนธรรม สร้างสรรค์ และธรรมชาติให้เป็นหนึ่งเดียว

ซึ่งโครงการ Cool Japan ของญี่ปุ่นตั้งได้ตั้งเป้าหมายผลักดันการส่งออกอุตสาหกรรมคอนเทนต์ อย่างอนิเมและวิดีโอเกม ให้เติบโตสูงถึง 20 ล้านล้านเยน ภายในปี 2030 โดยในส่วนของอนิเมนั้น ยาซุอิ โยสุเกะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่งสถาบันวิจัยญี่ปุ่น มองว่าการที่อุตสาหกรรมจะไปถึงจุดนั้น ญี่ปุ่นอาจต้องการอนิเมเตอร์และครีเอเตอร์มากถึง 30,000 คน แต่ในความเป็นจริง จำนวนอนิเมเตอร์มืออาชีพอาจลดลงถึง 27% จาก 6,211 คน (2019) เหลือเพียงแค่ 4,562 คน ภายในปี 2050 เนื่องจากปัญหาการทำงานที่หนัก ค่าตอบแทนต่ำ ไม่มีความก้าวหน้า แถมอนิเมเตอร์ส่วนใหญ่ยังเป็นฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสวัสดิการรองรับอีก พอคนทำงานและงบไม่พอ คนรุ่นใหม่ไม่สนใจเหลือแต่คนสูงวัย วงการอนิเมญี่ปุ่นก็ต้องจ้าง Out Source จากต่างประเทศมากขึ้น แต่ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสังเกตว่า ในช่วงปีสองปีนี้ มีอนิเมที่ประสบกับปัญหาคุณภาพงานจนต้องถูกระงับการออกอากาศมากขึ้น บางเรื่องที่เผาเกรียมยังกับ Power Point ก็พอมีให้เห็นอยู่

ในขณะเดียวกัน อนิเมจากสตูดิโอเกาหลีและจีนก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างน่าสนใจ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ค่าแรงต่ำกว่า แต่มีการลงทุนในตัวชิ้นงานสูงกว่า คุณภาพงานเริ่มดีขึ้น และมีตลาดใหญ่(เช่นจีน)รองรับ แม้ตอนนี้อาจจะยังเป็นฝ่ายตามหลังญี่ปุ่น แต่ก็มีโอกาสที่จะไล่หลังสตูดิโอญี่ปุ่นทัน และในบางด้านก็เริ่มแซงแล้วด้วย (เช่นในส่วนเทคโนโลยีการผลิต หรืองานด้าน CGI) ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ มิยาซากิ ฮายาโอะ มองว่ายุคทองของอนิเมญี่ปุ่นกำลังผ่านพ้นไป หากยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวงการหรือผลักดันคนรุ่นใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมนี้มากขึ้น

มิยาซากิ ฮายาโอะ

สรุปง่ายๆ ได้ว่า วงการอนิเมญี่ปุ่นตอนนี้เป็น “ขาขึ้น” ในเชิงตลาด (ยอดรวม + โอกาสเติบโต) แต่กลับเกิด “ขาลงในเชิงโครงสร้าง” (สตูดิโอย่อยล้ม ต้นทุนสูง แรงงานผลิตไม่พอ) ที่ทำให้อุตสาหกรรมอนิเมมีความเสี่ยง จนผู้ผลิตไม่กล้าที่จะก้าวออกจาก Safe Zone หรือกรอบความสำเร็จเดิมๆ จนทำให้เราเห็นอนิเมดังๆ หลายเรื่องยังคงออกอากาศต่อเนื่องกันหลายสิบปีไม่มีหยุด ตราบที่ยังมีฐานผู้ชมมากพอ หรืออนิเมแนวต่างโลกยังมีออกมาเรื่อยๆ เพราะมันยังพอมีคนดูและมีกำไรนั่นแหละครับ