[COMIC REVIEW] K2 : โค้งสุดท้ายจากซ้ายไปขวา

ตอนที่ผมไปซื้อ K2 เล่มล่าสุดมาอ่าน (เล่ม 28) ก็เพิ่งสังเกตว่า K2 ยังคงเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่อ่านแบบซ้ายไปขวาตามแบบไทย ในขณะที่การ์ตูนญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดในตลาดบ้านเราเปลี่ยนเป็นอ่านจากขวาไปซ้ายหมดแล้ว เท่าที่ทราบตอนนี้ยังเหลือการ์ตูนญี่ปุ่นลิขสิทธิ์ที่อ่านจากซ้ายไปขวาอยู่ 2 เรื่อง หนึ่งคือ K2 และอีกเรื่องคือก้าวแรกสู่สังเวียน ซึ่งเป็นการ์ตูนในสังกัดค่ายวิบูลย์กิจด้วยกันทั้งคู่ แถมยังสังกัดโคดันฉะด้วยกันทั้งคู่ด้วย

สำหรับคนที่อายุไม่เกิน 25 ปี หรือเติบโตมาในช่วงการ์ตูนลิขสิทธิ์เฟื่องฟู การอ่านการ์ตูนที่พิมพ์แบบขวาไปซ้ายแบบญี่ปุ่นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเอาจริงๆ บ้านเราก็ตีพิมพ์การ์ตูนแบบขวาไปซ้ายมาตั้งแต่เริ่มยุคลิขสิทธิ์ใหม่ๆ นั่นแหละครับ ซึ่งใครที่อ่านการ์ตูนตามแบบญี่ปุ่นมาตลอด ก็คงจะชินกับการอ่านการ์ตูนแบบนี้ไปแล้ว แต่เชื่อไหมครับว่าบ้านเรายังมีคนที่ชินกับการอ่านการ์ตูนแบบซ้ายไปขวาอยู่ไม่น้อย และบางคนถึงกับเลิกอ่านการ์ตูนไปเลย เมื่อการ์ตูนญี่ปุ่นยุคใหม่หันมาพิมพ์แบบขวาไปซ้ายกันหมด และไม่สามารถปรับพฤติกรรมการอ่านของตนเองได้..

Dr.K หรือในภาคนี้ใช้ชื่อว่า K2 ก็เป็นการ์ตูนอีกเรื่องที่ยัังคงตีพิมพ์แบบซ้ายไปขวา แม้ในความเป็นจริง การพิมพ์การ์ตูนแบบกลับด้านนั้นมีต้นทุนค่าใช้จ่ายและขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่า แถมยังทำให้เนื้อหาบางส่วนผิดไปจากความเป็นจริง เช่นกำลังรักษาแขนขวาแต่จริงๆ ภาพในเรื่องเป็นแขนซ้าย หรือการที่หมอจับมีดผ่าตัดมือซ้ายแทนมือขวา เป็นต้น แต่การ์ตูนเรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1988 หรือก่อนยุคลิขสิทธิ์เริ่มต้นในไทยหลายปี และยังมีฐานผู้อ่านที่ตามอ่านมาตั้งแต่ยุคแรกจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมา 30 ปีแล้วอย่างเหนียวแน่น การที่สำนักพิมพ์จะเลือกรักษารูปแบบการพิมพ์กลับด้านเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็คงจะเป็นเรื่องท้ายๆ แล้ว ขึ้นอยู่กับว่า ก้าวแรกฯ กับ Dr.K เรื่องไหนจะจบสมบูรณ์ก่อนกัน (ซึ่งตอนแรกก็นึกว่าก้าวแรกฯ จะจบไปแล้ว..แต่สุดท้าย ก็ยังเขียนต่อไปเรื่อยๆ และน่าจะอีกนานด้วย)

สำหรับเรื่อง K2 นั้น เป็นภาคที่ 3 ของซีรี่ส์ Dr.K ซึ่งถือได้ว่าเป็นการ์ตูนแพทย์ที่โด่งดังที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าในญี่ปุ่นความนิยมก็คงเป็นรองแค่ Black Jack ของ อ.โอซามุเรื่องเดียว โดยในภาคแรกนั้นจะใช้ชื่อว่า Super Dr.K ซึ่งเป็นเรืองราวของนายแพทย์อัจฉริยะกล้ามใหญ่ สุดยอดหมอศัลยกรรมขั้นเทพ ไซโจ้ คาซึยะ เจ้าของฉายา Dr.K ซึ่งภาคแรกนี้มีึความยาวถึง 44 เล่ม (1988-1996) ตามมาด้วยภาคสองที่ใช้ชื่อว่า Dr.K เฉยๆ ภาคนี้มีความยาว 10 เล่ม (1996-1998) และตัวเอกในช่วงแรกจะเป๋็น Dr.K ที่เป็นผู้หญิง ซึ่งตัวจริงนั้นเป็นน้องสาวของDr.K ที่ชื่อ KEI (ไซโจ้ เคย์) และตอนจบของภาคนี้ Dr.K หรือคาซึยะ นั้นก็จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งหลายๆ คนก็คิิดว่าการ์ตูน Dr.K น่าจะอวสานที่ตรงนี้

ทว่าต่อมา ในปี 2004 อ.คาซึโอะ มาฟุเนะ ก็หวนกลับมาเขียนเรื่อง Dr.K อีกครั้ง โดยคราวนี้จะเดินเรื่องโดยอ้างถึงตระกูลเงาของ K ที่ต้องออกจากเบื้องหลังมาสู่โลกเบื้องหน้าเพื่อสานต่อภารกิจของ Dr.K (คาซึยะ) ที่จากไปก่อนวัยอันควร (คาซึยะตายตอนอายุ 37 ปี) โดย Dr.K คนใหม่นี่้ก็คือ คามิชิโระ คาซึโตะ ที่มีฝีมือทางการแพทย์ไม่น้อยกว่า K แต่ที่ผ่านมาต้องปฎิบัติงานในฐานะตระกูลเงาอยู่ในโลกมืดเบื้องหลัง ทั้งที่จริงๆ แล้ววิทยาการทางการแพทย์ของตระกูล K นั้นล้ำหน้าไปไกลมากกว่าการแพทย์ปัจจุบันเสียอีก ซึ่งในภาคนี้เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องราวในโลกเบื้องหลังของตระกูล K ความขัดแย้งในโลกมืด พร้อมกับการตามหาคนไข้ที่ K คนเก่ารักษาค้างเอาไว้ เพื่อสานต่อการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิม

ในขณะเดียวกัน K2 ก็ยังบอกเล่าเรื่องราวของ คุโรซึ คาซึนาริ เด็กน้อย (ในช่วงแรก) ซึ่งเป็นร่างโคลนนิ่งของ K (คาซึยะ) และถือเป็นมนุษย์โคลนนิ่งบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกด้วย โดยในช่วงแรกจะเล่าเรื่องราวของคาซึนาริตั้งแต่ยังเป็นเด็กประถม จนกระทั่งได้พบกับ K(คาซูโตะ) และได้รับการฝึกสอนวิชาการแพทย์จาก K(คาซูโตะ) จนเติบโตกลายเป็นนักศึกษาแพทย์ตามรอยบรรพบุรุษตระกูล K ซึ่งเนื้อหาในปัจจุบันจะเน้นไปที่ตัวคาซึนาริอย่างเห็นได้ชัด แถมยิ่งโตหน้าตาก็ยิ่งเหมือนพ่อ(คาซึยะ)เข้าไปทุกที (ก็ร่างโคลนนี่หว่า) ในขณะที่บทบาทของ K(คาซูโตะ) ก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนบางทีก็แอบสงสัยเหมือนกันว่า คนเขียนลืมเรื่องที่ K(คาซึโตะ) ต้องไปตามหาคนไข้เก่าที่ Dr.K (คาซึยะ) รักษาค้างเอาไว้ไปแล้วรึเปล่าเนี่ย..

สิ่งหนึ่งที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้สนุกก็คือ Dr.K เป็นการ์ตูนแพทย์ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานความจริงค่อนข้างมาก นอกจากฝีมือการผ่าตัดกับพลังกาย(กล้าม)ของ K แล้ว แทบไม่มีส่วนไหนที่ดูโอเว่อร์เหนือความจริงเลย (เอ่อ จริงๆ ก็มีพวกพลังอภินิหารเหมือนกัน แต่น้อยมาก) คนไข้ทุกคนสามารถรอดได้ ป่วยได้ และตายได้จริง (ขนาดพระเอกคนก่อนยังเป็นมะเร็งตายได้เลย)  แถมเทคโนโลยีในการรักษาคนไข้ในเรื่องนี้ก็มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ  ตามยุคสมัยด้วย ซึ่งในการ์ตูนพยายามบอกอยู่หลายๆ ครั้งว่า โรคที่ในยุคของคาซึยะอาจจะรักษาไม่ได้ แต่ในยุคของคาซึโตะที่วงการแพทย์พัฒนาไปไกลขึ้นอาจจะทำการรักษาให้หายขาดได้ และนั่นทำให้ K2 ยังมีความสนุกในฐานะการ์ตูนแพทย์ไม่แพ้ Super Dr.K ที่เคยอ่านในอดีต

และอีกจุดหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของภา่ค K2 ที่แตกต่างจากภาคเก่า ก็คือการที่เราได้เห็นพัฒนาการและการเติบโตของว่าที่ Dr.K คนต่อไป นั่นก็คือ คาซึนาริ ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กที่จิตใจอ่อนโยนจนเกินไป เริ่มค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น และล่าสุดก็กลายเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มีฝีมือเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆ แถมยังมีบทเด่นให้ต้องโชว์เทพหลายครั้งตั้งแต่ยังเรียนไม่ทันจบ ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างกับ Dr.K คนอื่นๆ ที่เปิดเรื่องมาก็เก่งเทพเลย ไม่ได้เห็นพัฒนาการในฐานะหมอที่เ่ด่นชัดแบบคาซึนาริ  ที่กลายเป็นจุดขายที่น่าสนใจของภาคนี้ แถมการที่คาซึนาริยังมีความเป็นเด็กอยู่ทำให้เราได้เห็นด้านที่อ่อนโยนและไร้เดียงสาของ Dr.K ในแบบที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน และทำให้เรื่องราวของ K2 ดูสนุกและมีอะไรให้ลุ้นกันอยู่เรื่อยๆ

ตอนนี้ K2 ในบ้านเราก็ออกวางจำหน่ายถึงเล่ม 28 แล้ว ตามหลังเล่มญี่ปุ่นอยู่ประมาณ 4 เล่มเท่านั้น ซึ่งดูทรงแล้วก็น่าจะมีให้ตามอ่านกันอย่างต่อเนื่องอีกหลายปีทีเดียวครับ (จริงๆ ถ้านับที่จำนวนปี ภาคนี้ก็ถือว่าเป็นภาคที่เนื้อหายาวที่สุดไปแล้ว แต่ที่จำนวนเล่มยังไม่แซงภาคเก่าเพราะภาคนี้ที่ญี่ปุ่นตีพิมพ์ลงในนิตยสารรายปักษ์ ไม่ใช่รายสัปดาห์เหมือนในอดีต) และที่น่าสนใจก็คือ การ์ตูนเรื่องนี้ได้กลา่ยเป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนไม่น้อยสนใจที่จะเรียนหมอ บางคนที่เคยอ่าน Super Dr.K มาตั้งแต่เด๋็กจนถึงตอนนี้กลายเป็นหมอจริงๆ ไปแล้วเฉพาะที่ผมรู้จักก็มีอยู่หลายคนทีเดียว ถ้าหากจัดอันดับการ์ตูนที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างดีเยี่ยมละก็ ผมเชื่อว่าซีรี่ส์ Dr.K น่าจะอยู่ในลำดับต้นๆ แน่นอน ไม่เชื่อก็ลองหามาอ่านกันดูสิครับ