เมื่อหลายวันก่อนผมเห็นมีคนแชร์บทความเกี่ยวกับเรื่องที่มีเด็กรุ่นใหม่อ่านการ์ตูนเรื่องดราก้อนบอลแล้วไม่รู้สึกว่ามันเจ๋งตรงไหน ก็เลยอยากจะมาเล่าเรื่องราวของ อ.โทริยามะ อากิระ กันเสียหน่อย
โทริยามะ อากิระ เป็นนักเขียนการ์ตูนที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลคนหนึ่ง ทั้งที่ อ.โทริยามะเขียนการ์ตูนเรื่องยาวจริงๆ แค่สองเรื่อง คือเรื่องดราก้อนบอล กับ ดร.สลัมป์ แต่ทั้งสองเรื่องนั้นก็ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายทั้งคู่ แม้กระทั่งตอนนี้ อ.โทริยามะก็ยังคงมีรายได้จากลิขสิทธิ์การ์ตูนมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของวงการการ์ตูนญี่ปุ่น แต่จริงๆ กว่าที่ อ.โทริยามะ จะมาถึงจุดนี้ได้ มันไม่ง่ายเลย
อ.โทริยามะ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี 1955 จนถึงตอนนี้ก็อายุ 63 ปีแล้ว อ.โทริยามะ เป็นคนนาโกย่า และเริ่มชีวิตการทำงานในบริษัทโฆษณาที่นาโกย่าโดยทำหน้าที่ออกแบบโปสเตอร์ต่างๆ นานถึงสามปี ก่อนที่จะออกจากงาน และเริ่มต้นเส้นทางนักเขียนการ์ตูนด้วยการส่งการ์ตูนเข้าประกวดชิงรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ในนิตยสารโชเน็นจัมป์ (เป็นการ์ตูนสั้นเรื่อง Awawa World) แม้ที่สุดแล้วจะไม่ชนะ แต่ บก.โทริชิมะ (คนที่ อ.ชอบเขียนล้อบ่อยๆ ในเรื่อง ดร.สลัมป์) ก็ได้ติดต่อหา อ.โทริยามะ เพื่อให้กำลังใจ เรียกได้ว่าเห็นแววนั่นแหละ จนกระทั่งปี 1978 อ.โทริยามะ จึงมีผลงานการ์ตูนตีพิมพ์ในนิตยสารจัมป์เป็นเรื่องแรก ซึ่งเป็นการ์ตูน One Shot ที่ชื่อเรื่องว่า Wonder Island
หลังจากนั้น อ.โทริยามะก็พยายามส่งผลงานไปที่จัมป์ตลอด ซึ่งก็มักจะเป็นการ์ตูนแนว One Shot จบในตอน แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ได้รับการตอบรับที่ดีพอที่จะนำมาเขียนต่อเป็นเรื่องยาวได้ จนกระทั่งเรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ ได้รับการตีพิมพ์ในช่วงปี 1980-1984 นี่แหละครับ ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ อ.โทริยามะกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง เพราะยอดขายของ ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ นี่ปาเข้าไป 35 ล้านเล่มเฉพาะในญี่ปุ่น และก็ถูกนำมาสร้างเป็นการ์ตูนทีวีและอื่นๆ อีกมากมาย
หลังจากจบเรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ อ.โทริยามะก็มาเขียนเรื่องดราก้อนบอลต่อ ซึ่งตอนแรกนั้น อ.โทริยามะก็เจอกับความกดดันเข้าถาโถมหนักเลยครับ เพราะความสำเร็จของ ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ มันค้ำคออยู่ และตอนแรกๆ หลายๆ คนก็คาดหวังว่า ดราก้อนบอล จะเป็นการ์ตูนตลกสูตรเดียวกับอาราเล่ เพราะบรรยากาศดราก้อนบอลในช่วงแรกมันก็ชวนให้คิดแบบนั้นจริงๆ บางคนจึงอาจจะรู้สึกว่า ดราก้อนบอล (ช่วงแรก) มันก็สนุกนะ แต่มันสู้อาราเล่ไม่ได้เลยนี่สิ ซึ่งต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ เหมือนกัน กว่าที่คนอ่านจะรับรู้ว่า ดราก้อนบอลเป็นการ์ตูนตลกที่แตกต่างไปจากกรอบความสำเร็จเดิมของ อ.โทริยามะ มันกลายเป็นการ์ตูนแอ๊กชั่น ผจญภัย และตลกที่แม้จะไม่รัวมุกเรี่ยราดกันทุกหน้าแบบอาราเล่ แต่ก็มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม
และเรื่องราวของดราก้อนบอล ก็ค่อยๆ พัฒนามาเป็นแบบที่เราเห็น จากการ์ตูนแอ๊กชั่นตลก กลายเป็นการ์ตูนแอ๊กชั่นเต็มรูปแบบ จากเวทีประลองยุทธศึกชิงเจ้ายุทธภพ มากลายเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากจอมปีศาจ ไปจนถึงมนุษย์ต่างดาว ขยายขอบเขตมาเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องจักรวาล ซึ่งแน่นอนครับว่า อ.โทริยามะคงไม่ได้วางพล็อตไว้ไกลถึงขนาดนั้นหรอก แต่ อ.โทริยามะก็สามารถผสมผสานเรื่องราวต่างๆ ทีใส่เพิ่มเข้ามาให้เนียนกลายเป็นเนื้อเดียวกันได้ จนทำให้เราไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่า จากการ์ตูนล้อเลียนไซอิ๋วมันกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวตีกันไปได้ยังไงก็ไม่รู้
ความสำเร็จของดราก้อนบอลในยุครุ่งโรจน์นั้น เรียกได้ว่าต่อจากนี้ไปก็คงไม่มีให้เห็นอีก ยอดขายคอมมิคเฉพาะในญี่ปุ่นปาเข้าไป 159.5 ล้านเล่ม (ข้อมูลปี 2014) ซึ่งถึงแม้ตอนนี้จะโดนการ์ตูนเรื่องวันพีชแซงไปไกลแล้ว แต่สถิติที่ไม่สามารถทำลายได้ก็คือ ดราก้อนบอลได้กลายเป็นหนึ่งในการ์ตูนในยุคทองของโชเน็นจัมป์ที่ผลักดันให้นิตยสารจัมป์ทำยอดขายรายสัปดาห์ทะยานขึ้นสูงสุดถึง 6.53 ล้านฉบับในปี 1995 เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลหรือมากกว่าปัจจุบันถึง 3 เท่าตัว ส่วนแฟรนไชส์ดราก้อนบอล เมื่อปีที่ผานมายังสามารถแซงกันดั้มขึ้นเป็นอันดับ 1 ของบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่บันไดด้วยตัวเลขกว่า 9.7 หมื่นล้านเยน..นี่เฉพาะปีที่ผ่านมานะ..และปลายปีนี้ก็ยังจะมีหนังโรงออกฉายที่ญี่ปุ่น ก็น่าจะทำเงินไปอย่างต่ำก็เกินพันล้านเยนแน่นอน
แม้ว่าหลังจากเรื่องดราก้อนบอล เราจะไม่ได้เห็น อ.โทริยามะเขียนการ์ตูนเรื่องยาวอีก ส่วนใหญ่จะเป็น One Shot ไม่ก็การ์ตูนสั้นไม่กี่ตอนจบ แต่เราก็ยังได้เห็นผลงานของ อ.โทริยามะ จากการเป็นคาแรกเตอร์ดีไซน์ให้กับเกมดังอย่างดราก้อนเควสต์ทุกภาค ตั้งแต่ปี 1986 ถึงปัจจุบัน รวมไปถึงเกมระดับตำนาน SFC อย่าง Chrono Trigger และยังมีเกมอื่นๆ อย่าง Blue Dragon และ Tobal No. 1 อีก รวมไปถึงงานออกแบบปกซีดีและอื่นๆ อีกมากมาย
และถึงแม้ว่า อ.โทริยามะ จะมีอายุมากขึ้น และไม่ได้เขียนการ์ตูนแบบจริงจังมาพักใหญ่ๆ แล้ว (เรื่องสุดท้ายที่เขียนเองแบบเต็มๆ ไม่ใช่งานเขียนร่วมกับคนอื่นหรือคิดเรื่องให้คนอื่นเขียนก็น่าจะเป็น Jaco the Galactic Patrolman ในปี 2013) แต่ทุกวันนี้ ผลงานของ อ.โทริยามะ ก็ยังมีออกมาให้ชมกันเรื่อยๆ ในรูปแบบต่างๆ มากมาย แถมแฟนการ์ตูนของ อ.โทริยามะยังขยายไปทั่วโลกด้วย ซึ่งผมคิดว่า เราคงจะได้เห็นผลงานของ อ.โทริยามะในอีกหลากหลายรูปแบบที่บางครั้งก็อาจคาดไม่ถึงต่อไปอีกนานเลยล่ะครับ