[REVIEW] BUMBLEBEE : แด่วัยรุ่นยุค 80

ตอนที่ไมเคิลเบย์ ประกาศสร้าง Transformers Movie และนำออกฉายโรงในปี 2007 ตอนนั้นเรียกได้ว่ากระแสของ Transformers ครอบครองทุกวงการ หนังทำเงินไปถึง 319 ล้านเหรียญในอเมริกา ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในปี 2007 และภาค 2 Transformers: Revenge of the Fallen ก็ทำรายได้ไปถึง 402 ล้าน เกือบจะเป็นหนังทำเงินอันดับ 1 ในปี 2009 แล้ว ถ้าไม่ติดว่าปีนั้นยังมีหนังเรื่อง Avatar อยู่..

ในภาค 3 Dark of the Moon รายได้ 352 ล้าน ก็ยังถือว่าดูดี แต่รายได้รวมทั่วโลกกลับทำไปได้ถึง 1,123 ล้าน และกลายเป็นภาคที่ทำรายได้ทั่วโลกสูงสุด ซึ่งจริงๆ ตำนาน Transformers  หนังโรง มันควรปิดที่ตรงนี้แหละดีแล้ว แต่หนังมันยังทำเงินนี่นา สุดท้าย Transformers: Age of Extinction ที่ตัดตัวละครแซม วิทวิกกี้ออกไปจากระบบและสร้างคู่หูชาวมนุษย์ขึ้นมาใหม่ รายได้ในอเมริกาตกฮวบฮาบไปอยู่ที่ 245 ล้าน แต่รายได้รวมทั่วโลกกลับยังทำไปได้ถึง 1,104 ล้าน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการบุกตลาดจีนแบบเต็มตัว เราก็เลยยังได้ดูภาค 5 Transformers: The Last Knight ต่อกันอีกภาค ซึ่งคราวนี้เกือบจะได้เป็น Last จริงๆ เพราะรายได้ในอเมริกาได้ไปแค่ 130 ล้าน ส่วนรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 605 ล้าน ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่า จุดตกต่ำที่สุดของหนังโรงชุดนี้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับทุนสร้าง 217 ล้านแล้วก็ยังถือว่าภาคนี้ยังพอมีกำไรอยู่บ้าง และพอถึงจุดนี้ ทางทีมสร้างก็คงเริ่มรู้สึกว่า..ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วก่อนที่แบรนด์  Transformers จะเละเทะไปกว่านี้แล้วล่ะ

Bumblebee คือจุดเริ่มต้นของการ “รีบูท” Transformers ให้ออกมาในมุมมองใหม่ ที่แตกไปจากหนังโรง 5 ภาคที่ออกไปก่อนหน้านี้ ด้วยการเปลี่ยนโทนเรื่องจากหนังแฮีกชั่นระเบิดตูมตามแบบไมเคิลเบย์ กลายเป็นหนังครอบครัวเรื่องราวมิตรภาพระหว่างมนุษย์กับมนุษยต่างดาวรูปแบบชีวจักรกล ซึ่งถ้าเกิดพวกออโต้บอตไม่ใช่หุ่นยนต์ล่ะก็ ผมอาจจะนึกว่านี่เป็นหนัง E.T. ของสปิลเบิร์กฉบับรีเมคด้วยซ้ำ

เรื่องราวในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1987 โดยตัวเอกของเรื่องก็คือ Bumblebee หุ่นออโต้บอตฝ่ายพระเอกสีเหลืองที่แปลงเป็นรถเต่าได้ กับ ชาร์ลี เด็กสาวอายุ 18 ที่อยากมีรถยนต์เป็นของตนเอง เพราะรถยนต์เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อที่จากเธอไป และเธอก็ไม่มีความสุขกับครอบครัวใหม่สักเท่าไหร่ จนกระทั่งเธอได้พบกับ Bumblebee ที่หนีตายจากการไล่ล่าของพวกหุ่นตัวร้ายดีเซปติค่อนมายังโลก จากนั้นก็ตามที่คิดนั่นแหละครับ หนังเดินไปตามสูตรสำเร็จแบบที่ไม่ต้องมีคนสปอยล์ก็เดาตอนจบกันได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้แฟนๆ Transformers ยุคเก่ารู้สึกอินกับภาคนี้เป็นพิเศษ ก็คือดีไซน์ของเหล่า Transformers ในภาคนี้ อ้างอิงมาจากเวอร์ชั่นแรกสุด (Generation 1) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นการ์ตูนทีวีและของเล่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนี้เนื้อเรื่องจึงจำเป็นต้องเดินเรื่องในยุค 80 ไม่เช่นนั้นดีไซน์ของพวกหุ่นแปลงร่างทั้งหลายมันจะดูโดดมาก (เพราะมันมาจากยานพาหนะที่ใช้กันในยุค 80) เอาแค่ได้เห็นออฟติมัสยุค 80 ออกมาวาดลวดลายในรูปแบบหนังโรงนี่ผมว่าแฟนๆ Transformers หลายๆ คนก็กรี๊ดกันแล้วล่ะ โดยเฉพาะฉากสงครามบนดาวไซเบอร์ตรอนกลายเป็นฉากที่เหล่าแฟนๆ Transformers กรีดร้องกันมากจริงๆ (แต่ถ้าไม่เคยดู Transformers ฉบับคลาสสิคมาก่อนคงรู้สึกว่า สีสันมันโคตรลูกกวาดพิกล)

ตัวของ Bumblebee ในภาคนี้ ก็เป็นการรวมข้อดีของเวอร์ชั่นต่างๆ เข้าด้วยกัน นั่นคือดีไซน์รถเต่าแบบยุค 80 ผสมกับเวอร์ชั่นของเบย์ (+มุกวิทยุ) และยังเอาดีไซน์ของ Bumble bee (ผึ้งหึ่ง) มาผสมเข้าไป ทำให้ Bumblebee ในภาคนี้ มีดีไซน์ที่คล้ายผึ้งมากขึ้น (แต่ Bumblebee จะเป็นผึ้งอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ต่างไปจากผึ้งที่เรารู้จัก) และตัวก็เล็กลงกว่าเวอร์ชั่นหนังของเบย์ แต่ขนาดใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นการ์ตูนยุค 80 มากขึ้น แถมบรรยากาศยุค 80 ในเรื่อง ซึ่งมีทั้งเทปคาสเซ็ต เพลงยุคเก่า เสื้อผ้า หน้าผม รายการทีวี บรรยากาศครอบครัวแบบยุค 80 ที่อินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย มันก็ทำให้  Bumblebee กลายเป็นหนัง nostalgia ที่ถูกใจแฟน ๆ พันธุ์แท้ แถมนักวิจารณ์ก็ยังชื่นชอบด้วย

ทว่า..ในความเป็นจริงแล้ว แฟนหนังโรงของ Transformers ที่เติบโตมากับ Transformers เวอร์ชั่นระเบิดตูมตามของไมเคิลเบย์ ไม่ใช่ Transformers ของทาคาระกับฮัสโบร(ผู้ผลิตของเล่น) อาจจะไม่ได้ปลื้มปริ่มกับบรรยากาศครอบครัวยุค 80 หรือดีไซน์แบบคลาสสิค พวกเขาอาจคาดหวัง Transformers หนังโรงในอีกรูปแบบ ที่มีฉากระเบิดตูมตาม หุ่นยนต์เยอะๆ รถเท่ๆ สาวๆ นมโตแบบเมแกน ฟ็อกซ์ ไม่ใช่ E.T. ฉบับหุ่นยนต์แปลงร่าง รายได้เปิดตัวของ Bumblebee จึงออกมาสวนทางกับคำวิจารณ์ (อย่าลืมว่า ผลงานเก่าของ Travis Knight ก็คือ Kubo and the Two Strings ที่ถูกใจนักวิจารณ์ แต่ไปได้ไม่สวยใน Box Office เหมือนกัน) และหนังเรื่องนี้ยังกลายเป็นว่าที่หนัง  Transformers ฉบับคนแสดงที่ทำรายได้น้อยที่สุด และเปิดตัวต่ำที่สุดไปโดยปริยาย จนผมเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้วว่า การรีบูตโลกของ Transformers รอบนี้ มันถูกที่ถูกทางหรือเปล่า

เพราะถ้าถามผมส่วนตัว ผมก็ต้องบอกว่า ผมชอบนะ มันถูกจริตผม มันถูกจริตคนที่โตมาในยุค 80 แต่คนที่ดูหนังยุคนี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนยุค 80 แล้ว แต่เป็นคนยุคมิลเลเนี่ยม ที่อาจจะรู้สึกว่าโลกของ Transformers  แบบยุค 80 มันดูเชย มันเหมืิอนเดินถอยหลัง ซึ่งตาราง Box Office ทั้งในไทย และในอเมริกา มันก็สื่อออกมาแบบนั้นจริงๆ เผลอๆ หนังจะไปได้ไม่ไกลถึงร้อยล้านด้วยซ้ำ

สรุปแล้ว…ถ้าชอบการ์ตูนหุ่นยนต์แปลงร่าง ก็ไปดูเถอะครับ โดยเฉพาะลุงๆ ยุค 80 ที่ตอนนี้มีลูกมีหลานกันแล้ว นี่เป็นหนังครอบครัวส่งท้ายปีที่ดีและอบอุ่นมาก ๆ เรื่องหนึ่ง แต่อย่าไปหวังฉากตูมตามแบบฉบับของไมเคิล เบย์นะ..ซึ่งถามว่ามีไหม..ก็ยังมีระเบิดตูมตาม มีฉากแอ๊กชั่นเจ๋งๆ ให้ชมกันอยู่บ้าง (โดยเฉพาะฉากไซเบอร์ตรอน) แต่อย่าคาดหวังกับฉากแอ๊กชั่นจะดูหนังเรื่องนี้สนุกกว่าเยอะ…