ผมได้ยินชื่อ เกียวโต อนิเมชั่น หรือเกียวอนิครั้งแรก เมื่อช่วงปี 2002-2003 เพราะตอนนั้นผมดูแลลิขสิทธิ์อนิเมเรื่อง Full Metal Panic ที่ Gonzo ผลิตอยู่ ซึ่งตอนนั้นซีรี่ส์นี้กำลังดัง และอยู่ๆ ทางเกียวโตอนิเมชั่น ก็ได้ทำภาคต่อของเรื่องนี้ก็คือ Full Metal Panic? Fumoffu เฉยเลย ซึ่งทำให้หลายๆ คนแปลกใจว่า ค่ายนี้เป็นใครมาจากไหน

ถึงแม้ว่า เกียวโตอนิเมชั่น จะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1981 หรือกว่า 38 ปีที่แล้ว โดยทีมงานที่แยกตัวมาจาก Mushi Production แต่ในช่วง 20 ปีแรกของบริษัทนั้นก็ทำหน้าที่ในฐานะสตูดิโอเล็กๆ ที่รับช่วงงานจากค่ายอื่นมาทำต่อ โดยมีส่วนร่วมในผลงานดังๆ อย่าง คิดดี้เกรด , อินุยาฉะ หรือ เทนชิมุโย เป็นต้น ก่อนที่จะมีผลงานของตัวเองเรื่องแรกอย่าง Munto (OVA) ในปี 2003 และตามมาด้วย Full Metal Panic? Fumoffu ในปีเดียวกัน

ซึ่ง Full Metal Panic? Fumoffu นั้น มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ เพราะด้วยโทนของอนิเมที่หลุดมาจาก FMP ภาคหลัก (ภาคนี้เน้นฮาเป็นหลัก ไม่เน้นแอ็คชั่น) และในส่วนงาน CG ของภาคนี้ ก็ดูด้อยกว่าสมัย GONZO ทำอย่างเห็นได้ชัด (ตอนนั้น Gonzo ยังอยู่ในยุคทองครับ จับอะไรก็เป็นกระแสไปหมด โดยเฉพาะด้านการนำ CG มาใช้ในอนิเมนี่ถือได้ว่าเป็นค่ายแรกๆ ที่ทำออกมาได้ดีเลยล่ะ) คนดูก็เลยยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเกียวอนิสักเท่าไหร่ แต่เกียวอนิมาโด่งดังจริงๆ ก็จากตอนที่ทำเรื่อง AIR ในปี 2005 ซึ่งถือเป็นงานทีวีซีรี่ส์ที่ทำได้คุณภาพสูงยิ่งกว่า OVA (ในยุคนั้น) เสียอีก หลังจากนั้นเกียวอนิเมก็ได้โอกาสแก้มือซีรี่ส์ FMP ใน Full Metal Panic! The Second Raid (2005) ที่คราวนี้เน้นแอ๊กชั่นหนักหน่วงมากขึ้น และงาน CG ก็ดีและเนียนตากว่าภาคก่อนจนเห็นได้ชัด

หลังจากนั้น เกียวอนิก็เริ่มเข้าสู่ยุคทอง กับผลงานชุด The Melancholy of Haruhi Suzumiya ในปี 2006 ที่กลายเป็นปรากฎการณ์ไวรัลไปทั่วโลก (โดยเฉพาะท่าเต้น) ตามมาด้วย Kanon และ Clannad ที่เป็นการสานต่อความสำเร็จจากซีรี่ส์ AIR เพราะทั้งสามเรื่อง สร้างจากเกมแนววิชวลโนเวลของค่าย Key เหมือนกัน และมาท็อปฟอร์มสุดๆ จากซีรี่ส์ดนตรีแป๋วแหวว K-On!ในปี 2009

จากนั้น ทางเกียวโตอนิเมชั่น ก็เริ่มหันมาพัฒนาซีรี่สของตนเองมากขึ้น เพราะผลงานก่อนหน้าส่วนใหญ่จะเป็นการนำคอมมิค นิยาย หรือเกมที่มีกระแสอยู่แล้วมาสร้างเป็นอนิเม โดยเริ่มตั้งแต่การทำโปรเจคไลท์โนเวลของตนเอง โดยอนิเมชุด Chunibyou demo Koi ga Shitai! ก็สร้างมาจากผลงานที่ชนะการประกวดไลท์โนเวลที่ทางเกียวอนิจัดขึ้นในปี 2010 และหลังจากนั้นก็มีผลงานอนิเมที่น่าสนใจออกสู่ตลาดอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอนิเมซีรี่ส์ OVA หรือหนังโรง
Chunibyou demo Koi ga Shitai
ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนอนิเมของค่ายนี้ ก็คงจะพอรู้ว่าผลงานของค่ายนี้มีลายเซ็นที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ โทนสีที่สดใส เนื้อเรื่องที่มาในโทน Feel Good เป็นส่วนใหญ่ แทบไม่มีฉากเซอร์วิส (แม้บางเรื่องจะมี แต่ก็แถไถไปได้แบบน่ารัก อย่างฉากชามข้าวในตำนานของ K-On!) และคุณภาพงานที่คงเส้นคงวา แทบไม่มีเผางานให้เห็น ทำให้แฟนๆ มองว่าเกียวอนิเป็นค่ายอนิเมคุณภาพค่ายหนึ่ง อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์ที่ดี ในแง่การให้อัตราค่าจ้างที่สมเหตุผล ไม่กดค่าแรงอนิเมเตอร์เหมือนบางค่าย และยังคงปักหลักสำนักงานใหญ่และสตูดิโออยู่ในเกียวโต เพื่อเป็นการสร้างงานให้คนในชุมชนท้องถิ่น แต่ก็มีออฟฟิศสาขาอยู่ที่โตเกียว(อาคาซากะ)ด้วยนะ

เหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นที่สตูดิโอ 1 ที่ตั้งอยู่ที่ Fushimi-ku ส่วนสตูดิโอ 2 จะอยู่ที่เมืองอุจิ (เกียวโต) รวมถึงตัว head office ก็อยู่ที่เมืองอุจิด้วย (เมืองที่ดังเรื่องชาเขียวนั่นแหละครับ) ซึ่งในส่วนของสตูดิโอ 2 นั้นยังปลอดภัยอยู่ ทำให้ผลงานที่ค้างอยู่หลายเรื่องยังสามารถที่จะเดินโปรเจคต่อได้ แต่ในส่วนสตูดิโอ 1 นั้น อย่างที่เราทราบก็คือ ทั้งต้นฉบับ และไฟล์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์เสียหายทั้งหมด (และล่าสุดคือ ทางผู้บริหารเกียวอนิตัดสินใจที่จะทุบอาคารนี้ทิ้งเพื่อทำเป็นสวนสาธารณะและเป็นอนุสรณ์สถานภายหลังจากที่คดีสิ้นสุด) แต่นั่นยังไม่เท่ากับความสูญเสียทางด้านบุคลากรในวงการอนิเมชั่นกว่า 34 คน ที่ล้วนแต่เป็นคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 20-30 ปี ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของวงการอนิเมญี่ปุ่นในอนาคตข้างหน้า

โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา จึงถือเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการอนิเมชั่นของญี่ปุ่น และถือเป็นเหตุการณ์ลอบวางเพลิงที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดของญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงจะเป็นเช่นไร คงต้องรอผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่แน่นอนครับว่า ไม่ว่าต้นสายปลายเหตุจะเปนเช่นไร มันก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยจริงๆ
(ภาพประกอบจาก //www.facebook.com/kyoanico/ )