Final Fantasy XIV: Dad of Light (MOVIE) : มันไม่เหมือนทีวีซีรี่ส์หรอกนะ

ตอนที่ Final Fantasy XIV: Dad of Light ประกาศสร้างหนังโรง และปล่อยตัวอย่างออกมาให้ชมกัน ผมก็รู้สึกตะหงิด ๆ ใจอยู่ไม่น้อย เพราะยอมรับว่าตัวเองติดภาพจำของ Dad of Light ฉบับซีรี่ส์ (Netflix) ไปแล้ว พอเห็นนักแสดงชุดใหม่ในภาคหนังโรงก็เลยรู้สึกแปลกๆ และอีกอย่าง ผมก็นึกไม่ออกว่า การดูหนังคนแสดงที่เนื้อหาซ้ำกับทีวีซีรี่ส์ แถมยังใช้ผู้กำกับและคนเขียนบทคนเดิม สำหรับคนที่เคยดูจนจบแล้ว มันจะสนุกหรือเปล่า

พ่อลูกติดเกม กลับมา่สร้างความประทับใจอีกครั้ง

แถมพอตัดสินใจจะดูขึ้นมา ก็ดันมีอุปสรรคอีก เพราะโรงแถวบ้านผมดันไม่มีฉายเลย ต้องขับรถฝ่าการจราจรไปดูถึงในตัวเมือง ซึ่งถือว่าแปลกมาก เพราะขนาดซิตี้ฮันเตอร์ฉบับอนิเมแถวบ้านผมยังมีให้ดู แต่เรื่องนี้กลับมีโรงและรอบฉายน้อยกว่าอีก ขนาดเข้าเมืองแล้วยังมีให้เลือกชมแค่วันละสองรอบเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ยังพอมีคนซื้อตั๋วเข้าไปชมอยู่บ้าง ในรอบที่ผมดูมีราวๆ 10 คน ยังไม่ถึงกับเป็นโรงร้างเหมือนบางเรื่อง

คุณพ่อติดเกมแล้วล่ะ

แต่พอได้ดูจริงๆ ก็ยอมรับว่าไม่ผิดหวังครับ เพราะถึงจะเคยดูทีวีซีรี่ส์ไปแล้ว แต่ตัวหนังก็ตีความเนื้อเรื่องออกมาได้อย่างน่าสนใจ ตั้งแต่บุคลิกของอากิโอะและพ่อ ซึ่งอากิโอะในฉบับซีรี่ส์ (จิบะ ยูได – โกเซย์เรด) นั้นจะออกคุณหนูหน่อยๆ แต่ในภาคมูฟวี่ (ซากาอุจิ เคนทาโร่) นี้ให้ความรู้สึกเหมือนเนิร์ดเกมพอสมควร ส่วนบทพ่อของอากิโอะนั้นรับบทโดยโยชิดะ โคทาโร่ ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นพ่อที่ดุดันและเข้มงวดกว่าภาคทีวีซีรี่ส์ ทำให้รู้สึกถึงช่องว่างของพ่อกับลูกในมุมที่แปลกไป

อากิโอะกับพ่อในวัยเด็ก

ในส่วนโครงเรื่องนั้นก็คล้ายๆ กันครับ แต่จุดที่แตกต่างก็คือ การสร้างตัวละครใหม่อย่างน้องสาวของอากิโอะที่ทำให้เราได้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกและ Generation Gap ในครอบครัวได้อย่างชัดเจนขึ้น ไม่ใช่แค่ช่องว่างทางการสื่อสาร แต่เป็นเรื่องมุมมองและทัศนคติที่แตกต่างกันด้วย ส่งผลให้ปมดราม่าในเรื่องนี้หนักหน่วงและมีมิติที่หลากหลายมากกว่าภาคซีรี่ส์ เพราะจะมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

นอกจากนี้ ในส่วนที่ผมคิดว่าค่อนข้างโดดเด่น ก็คือส่วนภาพในเกม ที่คราวนี้ทำใหม่หมด แสดงอารมณ์ได้ดีขึ้นกว่าเดิม และทำให้เราได้เห็นความสวยงามของโลกในเกม Final Fantasy XIV ได้อย่างเต็มอิ่มมากขึ้น แต่ก็มีจุดอ่อนตรงที่ตัวเกมจะเน้นไปที่ไมดี้กับอินดี้โจนเป็นหลัก แถมยังมีตัวละคร(ในเกม)ตัวใหม่มาเพิ่มอีก ทำให้บทบาทของคาแรกเตอร์รอง ๆ ในเกมอาจต้องลดลงไปพอสมควร

อีกจุดหนึ่งที่ค่อนข้างแตกต่างจากภาคซีรี่ส์ก็คือ เนื้อหาในช่วงท้ายไปจนถึงตอนจบของเรื่อง ที่ดำเนินเรื่องต่างกันอย่างชัดเจนมากครับ แต่ผมคงจะบอกไม่ได้เพราะบอกไปสปอยล์แรงแน่นอน เอาเป็นว่าใครที่กังวลว่าเนื้อหาจะซ้ำกับภาคซีรี่ส์หรือเปล่า บอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ มีส่วนที่แตกต่างกันตั้งแต่ระดับปลีกย่อยไปจนถึงจุดไคลแมกซ์กันเลยทีเดียว ดังนั้นหากใครที่ยังลังเลใจอยู่ ก็อยากให้รีบไปรับชมกันนะครับ ดูจากรายได้ทั่วประเทศแล้วทำเงินไปราวๆ วันละแสนบาทเท่านั้น อาจจะปิดยอดได้แค่ราวๆ 5 แสนและไม่ได้ไปต่อสัปดาห์ที่สอง ถ้ามีโอกาสก็อยากจะรีบไปดูกันนะครับ ผมว่านี่เป็นหนังญี่ปุ่นที่ดีเป็นลำดับต้นๆ ของปีนี้เลยล่ะ

สุดท้าย..ขอไว้อาลัยให้กับคุณ โอสุกิ เรน ผู้กับบทพ่อขออากิโอะ ในภาคทีวีซีรี่ส์ ที่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่ผ่านมาด้วยครับ