หลังจากที่เปิดตัวไปได้ไม่นานนัก Star Wars: Episode IX ก็ได้รับเสียงรีวิวแตกออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งที่ชอบ กับฝั่งที่เกลียด ดูได้จากเวบมะเขือเน่า ที่ภาคนี้ได้มะเขือเน่า TOMATOMETER ในหมู่นักวิจารณ์ไป 55% แต่พอมาฝั่ง AUDIENCE SCORE กลับได้ไปถึง 86% เลยทีเดียว
ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะในภาคที่ผ่านมา STAR WARS: THE LAST JEDI นั้น คะแนนจะออกมาตรงข้ามกับภาคนี้เลย คือนักวิจารณ์ชื่นชอบมาก ให้ Fresh ถึง 91% แต่ฝั่ง AUDIENCE SCORE จากผู้ชมสองแสนกว่าคนนั้นกลับได้แค่ 43% เท่านั้นครับ เรียกได้ว่าแทบจะเป็นมุมกลับของภาคนี้เลยครับ
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ STAR WARS: THE LAST JEDI นั้น ถือได้ว่ามีความกล้าหาญในการสร้างแนวทางที่แปลกใหม่ กล้าที่จะออกจากขนบเดิมๆ ของสตาร์วอร์ ที่ยังคงยึดติดกับเรื่องราววิถีของเจไดและตระกูลสกายวอล์กเกอร์ ทำให้ได้เห็นด้านที่เป็นปุถุชนของปรมาจารย์เจไดอย่างลุค และการหนุนส่งให้เรย์และเรนกลายเป็นตัวแทนของสตาร์วอร์ยุคใหม่ได้อย่างน่าสนใจ จนถูกอกถูกใจนักวิจารณ์ รวมถึงแฟนๆ รุ่นใหม่กันอยู่ไม่น้อยทีเดียว
แต่สำหรับแฟนๆ ที่ผูกพันกับซีรี่ส์นี้มานานหลายสิบปี กลับไม่รู้สึกพอใจผลที่ออกมาสักเท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่สตาร์วอร์ในแบบที่เขารู้จักและคาดหวัง ผิดกับ Star Wars: Episode VII – The Force Awakens ที่เหมือนเป็นหนังแฟนเซอร์วิสสำหรับชาวสตาร์วอร์สจนทำรายได้ไปสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอเป็น STAR WARS: THE LAST JEDI เรากลับพบว่า หนังที่ถูกใจนักวิจารณ์เรื่องนี้ กลับทำรายได้ถดถอยไปจากภาคก่อนหน้าพอสมควร
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่ Star Wars: Episode IX จะกลับมาใช้แนวทางเหมือนกับภาค VII คือเน้นสื่อสารกับแฟนสตาร์วอร์กันแบบตรงไปตรงมา อะไรที่แฟนๆ อยากจะเห็น ก็จะได้เห็น อยากดูฉากไลท์เซเบอร์ ฉากสงครามยาน ภาคนี้ใส่มาแบบจัดเต็ม และอะไรที่เคยทำให้แฟนๆ ขัดใจในภาค 7 ภาคนี้นอกจากตัดออกแล้วยังไม่พอ ยังพยายามที่จะแก้ไขอีกต่างหาก เช่นภาคที่แล้วให้ลุคตายไป ภาคนี้ก็ให้ลุคกลับมาเป็นผีฟอร์ซเลย แถมไม่ใช่แค่ลุคคนเดียวนะ ฮาน โซโลก็มา แถมยังปลุกผีย้อนไปถึงอนาคินกับโอบีวันที่อุตส่าห์กลับมาเป็นเสียงอีก
เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ หลังจากขุดผีตระกูลสกายวอล์กเกอร์ออกมาหมดสุสานแล้ว ยังอุตส่าห์ขุดยาน X-Wing ของลุค (ซาก)เดธสตาร์ ยานสตาร์เดสทรอยเยอร์ ย้อนไปกระทั่งดาวบ้านเกิดลุค รวมถึงตัวละครที่ไม่คิดว่าจะได้เจอก็ขุดเอากลับมาหมด เรียกได้ว่ากะเอาใจแฟนสตาร์วอร์สุดๆ แต่มันก็แลกมากับบทภาพยนตร์ที่ไม่สมดุลเพราะพยายามยัดอะไรลงไปมากเกินไป และช่องโหว่ในเนื้อหาหลายๆ ส่วนที่ดูแล้วรู้สึกขัดใจเพราะเหมือนจงใจที่จะหักดิบเรื่องราวที่ปูไว้ในภาคก่อนหน้าจนเกินงาม บางจุดก็เล่นง่ายเสียจน..เอ่อ เอาแบบนี้เลยเรอะ ทำให้หนังเรื่องนี้มันดูครึ่งๆ กลางๆ ขาดๆ เกินๆ เหมือนไม่รู้ว่าจะเอายังไงกันแน่ จึงไม่แปลกที่นักวิจารณ์รวมถึงแฟนๆ บางส่วนอาจจะไม่ชอบภาคนี้มากนัก โดยเฉพาะแฟนๆ คู่ เรย์-เรน(ฮา)
แต่ถ้าถามผมนะ แม้ว่าโดยภาพรวมมันจะไม่สมบูรณ์ ยังไม่ลงตัว ไม่สมกับเป็นภาคสรุปตำนาน แต่สตาร์วอร์ภาคนี้ มันก็ดูสนุกนะครับ สนุกแบบลิเกอวกาศ ซึ่งสตาร์วอร์ภาคแรกที่สร้างขึ้นเมื่อ 42 ปีก่อน มันก็เป็นหนังลิเกอวกาศแบบนี้แหละ (ตอนแรกค่ายหนังไม่กล้าเอามาฉายโรงด้วยซ้ำ ไม่มีใครคาดคิดว่าต่อมามันจะดังขนาดนี้) และถึงแม้รายได้ของภาคล่าสุดนี้ดูเหมือนจะออกมาไม่หรูนัก คือทำเงินไม่เท่ากับสองภาคก่อนหน้า แต่แฟนๆ ต่างก็รู้ดีว่า ขุมทรัพย์ของสตาร์วอร์จริงๆ มันอยู่ที่ตัวแฟรนไชส์ที่จะถูกนำมาต่อยอดเป็นสินค้าต่างๆ นี่แหละครับ และเราก็รู้ว่า รายได้จากของเล่นและสินค้าของสองภาคก่อนหน้านี้ มันไม่เปรี้ยงเอาเสียเลย จึงไม่แปลกครับที่ภาคล่าสุดนี้จะไม่สามารถก้าวข้ามยาน X-Wing ,Millennium Falcon รวมไปถึงตระกูลสกายวอลค์เกอร์ไปได้เลย หลังจากที่พยายามมาสองภาคแล้วไม่รอด..ก็ต้องปลุกผีของเก่าขึ้นมาหากินกันต่อนี่แหละครับ
และโดยส่วนตัว ผมก็ยังเชื่อว่า ถึงแม้เรื่องราวของสตาร์วอร์จะจบลงแล้วในภาคนี้ แต่เราก็จะยังคงหนีแฟรนไชส์นี้ไปไม่พ้นอย่างน้อยก็อีกนานนับสิบปี เพราะตราบที่มันยังทำเงินได้ ดิสนีย์ก็ไม่มีทางปล่อยแฟรนไชส์นี้ให้หลุดมือแน่นอนครับ อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็มีซีรี่ส์ The Mandalorian ให้ดูกันต่อล่ะ
May the Force be with you!