ขอให้โชคดีมีชัยในโลกแฟนตาซี เดอะ มูฟวี่ ตำนานสีชาด

พูดกันตามตรง ตอนแรกผมไม่คิดเลยครับว่า จะมีใครเอา “ขอให้โชคดีมีชัยในโลกแฟนตาซี เดอะ มูฟวี่ ตำนานสีชาด” มาฉายโรงเลยครับ เพราะถึงแม้เรื่องนี้จะมีฐานแฟนที่ค่อนข้างเหนียวแน่น แต่ก็ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มพอสมควร แถมจะไปแนะนำให้หาภาคซีรี่ส์มาดูกันก่อน ก็ปรากฎว่า ทาง Netflix ถอดเรื่องนี้ออกไปแล้วทั้งสองซีซัน (เศร้า) ก็เลยต้องขอชื่นชมผู้กล้าที่เอาหนังเรื่องนี้เข้ามาฉายสักนิด ว่ากล้าทุ่มจริงๆ และแอบหวังให้เรื่องนี้ประสบความสำเร็จตามเป้านะ จะได้มีอนิเมดีๆ มาให้ชมกันอีก

สำหรับเนื้อเรื่องของ “ขอให้โชคดีมีชัยในโลกแฟนตาซี เดอะ มูฟวี่ ตำนานสีชาด” ก็จะเกี่ยวข้องกับเมกุมิน ตามชื่อเรื่อง (ตำนานสีชาด) นั่นแหละครับ โดยคราวนี้พวกคาซึมะจะเดินทางไปยังหมู่บ้านของเผ่าโคมะซึ่งเป็นบ้านเกิดของเมกุมิน เนื่องจากยุนยุนมาแจ้งข่าวว่า หมู่บ้านโคมะถูกกองทัพปีศาจโจมตี โดยที่ตัวคาซึมะเองนั้นก็มีผลประโยชน์แอบแฝงในการไปที่หมู่บ้านโคมะนี้ด้วย ทว่าที่หมู่บ้านนี้กลับเต็มไปด้วยเหล่าจอมเวทบ้าพลังที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ และความลับในอดีตเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเผ่าโคมะที่ใครก็คาดไม่ถึง

เนื่องจากภาคนี้จะเน้นไปที่ตัวเมกุมินเป็นหลัก ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องที่มาจากนิยายเล่ม 5 (ขอให้โชคดีมีชัยในโลกแฟนตาซี! Let’s & Go สู่หมู่บ้านกัมปนาทโคมะ!!) ดังนั้นแฟนๆ ของอควาและดาร์กเนสอาจรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เพราะบทของสองคนนี้น้อยกว่ายุนยุน แถมยังจางอีก แต่เรื่องความสนุกนั้นต้องยอมรับว่าจัดเต็มกันจริงๆ โดยเฉพาะฉากระเบิดตูมตามนี่ พอดูเวอร์ชั่นหนังโรงแล้ว มันดูสะใจอลังการกว่าทีวีซีรี่ส์มาก แถมฉากต่อสู้ในช่วงไคลแม็กซ์ก็ทำออกมาได้ดีมากครับ เรียกว่าสมกับที่ได้ดูในโรงใหญ่ๆ จริงๆ ส่วนมุกตลกก็ยังคงยิงรัวๆ ให้หัวเราะได้ตลอดเรื่องไม่แพ้ทีวีซีรี่ส์ แถมยังมีมุกดักแก่ฮาๆ เอาใจผู้สูงวัยด้วย (มุกไหนไปดูเอาเองนะครับ)

และถึงแม้ภาคหนังโรงจะมีการเปลี่ยนผู้ผลิตจาก Studio Deen ที่เคยทำภาคทีวีซีรี่ส์มาเป็น J.C.Staff แต่ว่างานภาพนั้นก็ดูไม่ค่อยต่างจากภาคทีวีซีรี่ส์เลยครับ(ฮา) จะว่าเผางานก็คงไม่ใช่แล้วแหละ เพราะฉากแบคกราวด์นั้นทำออกมาได้ดีมากครับ ภาพสวยใช้ได้เลย จะติดใจก็แค่ตัวละครที่ถอดลายเส้นทีวีซีรี่ส์มาได้เป๊ะเกินไป สมกับที่ใช้ผู้กำกับคนเดียวกันจริงๆ (ฮา) ใครที่คิดว่าหนังโรงภาพจะออกมาเนี้ยบๆ บอกเลยว่าทำใจหน่อยนะครับ มันกลายเป็นสไตล์ของเรื่องนี้ไปแล้ว (ฮา)

แต่จุดด้อยจุดอื่นที่น่าเป็นห่วงก็คือ ตัวหนังโรงไม่ค่อยปูพื้นตัวละครให้คนที่ไม่เคยดูภาคทีวีมาก่อนสักเท่าไหร่ ซึ่งจากที่คุยกับเพื่อนที่ไปดูด้วยกัน (เพื่อนไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อนเลย) ก็ยังดูสนุกอยู่นะ แต่อาจจะงงเรื่องความเป็นมาและความสัมพันธ์ของตัวละครอยู่บ้าง เพราะหนังโรงภาคนี้มีตัวละครเก่าๆ กลับมามีบทบาทเพียบเลยครับ ทำให้ใครที่ไม่มีพื้นตัวละครมาก่อนนี่มีงงแน่นอน และตัวหนังมีความยาวไม่มากนัก คือมีความยาวแค่ประมาณชั่วโมงครึ่ง และไม่มีตัวอย่างท้ายเครดิตอะไรเป็นพิเศษนะครับ ดูจบก็ลุกกลับบ้านกันได้เลย แต่ก็รู้สึกสนุกจนอิ่มนะ นี่ถ้ามีโอกาสอยากจัดอีกสักรอบด้วยซ้ำไป