แม้จะไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายนัก แต่ “ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ ศึกรถไฟสู่นิรันดร์” ก็สามารถทำรายได้ผ่านหลัก 50 ล้านบาทไทย และกำลังจะกลายเป็นว่าที่หนังอนิเมญี่ปุ่นทำเงินสูงสุดในไทยตลอดกาลค่อนข้างจะแน่นอนแล้ว
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ เป็นหนังโรงที่มาจากอนิเมที่ไม่ได้มีโอกาสฉายฟรีทีวีในบ้านเราด้วยซ้ำ แต่แฟนๆ ก็สามารถหาชมกันได้แบบถูกลิขสิทธิ์ผ่าน Platform ต่างๆ อาทิ ไลน์ทีวี ,การ์ตูนคลับ ,True ID, Netflix ฯลฯ ซึ่งตัวหนังโรงเอง ก็ไม่ได้เผื่อพื้นที่ไว้สำหรับคนที่ไม่เคยดูอนิเมหรืออ่านการ์ตูนมาก่อน ก็คือเนื้อเรื่องของหนังโรงจะต่อจากภาคทีวีซีรี่ส์ (ตรงกับหนังสือการ์ตูนช่วงเล่มที่ 7-8) โดยที่ไม่ได้ย้อนอธิบายเรื่องราวความเป็นมาก่อนหน้าเลยว่า อสูรคืออะไร ปราณคืออะไร ความเป็นมาของแต่ละคนเป็นอย่างไร เหตุการณ์เกิดในยุคไหน เนซึโกะทำไมถึงเป็นอสูร ฯลฯ
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำมาสำหรับแฟนการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ เริ่มมาก็เข้าเรื่องบทรถไฟทันทีไม่ต้องมาย้อนความหลังก่อนหน้านั้นให้เสียเวลา ซึ่งการนำเสนอรูปแบบนี้ปกติควรจะเรียกว่าเป็น “หนังเฉพาะกลุ่ม” เพียงแต่กลุ่มแฟนๆ ของดาบพิฆาตอสูรในตอนนี้ก็ถือได้ว่ามีกลุ่มใหญ่โคตรๆ ตัวคอมมิคก็ทำยอดขายทะลุร้อยล้านเล่มไปแล้ว อนิเมก็ถูกเอามาฉายทีวีที่ญี่ปุ่นซ้ำรับกระแสก่อนหนังจะฉาย (แรกเริ่มเดิมทีเป็นอนิเมฉายรอบดึก 23.30 น.) ส่วนในไทยแม้จะไม่เคยฉายฟรีทีวีแบบจริงๆ จังๆ แต่ก็อย่างที่เราทราบว่าเกือบทุกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ดังๆ ก็มักจะมีเรื่องนี้ให้ชมกันทั้งแบบพากย์ไทยและซับไทย และยอด view ก็ค่อนข้างเยอะมาก มันมากพอที่จะทำให้แฟนๆ แห่กันไปดูหนังโรงเรื่องนี้จนทำสถิติรายได้ชนิดหักปากกาเซียนจนเพิ่มรอบฉายกันแทบไม่ทันเลยครับ
ในส่วนของตัวหนังนั้น ก็ถือว่าทำได้มาตรฐานของ Ufotable ครับ ยังคงรักษามาตรฐานของภาคทีวีไว้ได้ค่อนข้างดี ฉากต่อสู้ก็ทำได้น่าตื่นตาตื่นใจ เก็บรายละเอียดจากคอมมิคต้นฉบับไว้ได้ดี ดูแล้วไหลลื่น แต่มันก็กลายเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งเหมือนกัน เพราะมันทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังโรงที่ไม่มีอะไรที่เกินความคาดหมายไปจากต้นฉบับหนังสือการ์ตูนเลย แถมตอนจบยังค้างๆ คาเรื่องไว้ให้ไปดูต่อกันในซีรี่ส์ภาคต่อไปอีก ดังนั้นในแง่ของความเป็นหนัง มันจึงเป็นหนังที่ไม่ได้สมบูรณ์ในตัวมันเอง แต่ตัวหนังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาคหนึ่ง กับภาคสอง (ที่ยังไม่ได้ออกอากาศ) และตอบโจทย์ความคาดหวังของแฟนๆ ได้ค่อนข้างดีเยี่ยม
จุดที่ผมรู้สึกว่าน่าเสียดายอีกจุดก็คือ ตัวหนังน่าจะเล่าเรื่องราวของเรนโงคุต่อไปอีกนิด ให้จบลงตรงที่บ้านของเรนโงคุตามเนื้อเรื่องในคอมมิค ซึ่งจะทำให้เรื่องราวของเรนโงคุจบสมบูรณ์ลงในหนังโรงจริงๆ แต่เนื้อเรื่องในหนังโรงกลับตัดจบลงก่อนจะถึงจุดนี้ ซึ่งก็เข้าใจว่าทางทีมงาน Ufotable น่าจะตั้งใจเอาเนื้อหาส่วนนี้ไปใส่ในตอนต้นของทีวีซีรี่ส์ภาคสองนั่นแหละครับ ให้เป็นจุดเชื่อมต่อกับภาคหนังโรงอีกที ซึ่งก็จะทำให้ในทีวีซีรี่ส์ยังคงมีการกล่าวถึงครอบครัวของเรนโงคุกันอีกเล็กน้อย
ดังนั้นในภาครวม ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นหนังที่ทำได้ดีตามมาตรฐาน เป็นจุดเชื่อมต่อเรื่องราวที่คนดูซีรี่ส์จะต้องมาตามดูกันต่อก่อนจะดูภาคใหม่ แต่ตัวหนังมันมิได้จบสมบูรณ์ในตัวมันเอง เพราะหน้าที่ของมันคือการ “ส่งต่อ” เรื่องราว รวมถึงเจตนารมณ์ของเรนโงคุในฐานะเสาหลักให้กับตัวละครหลักทั้งสาม ซึ่งเหตุการณ์ในภาคนี้จะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทันจิโร่ เซนอิทซึ และอิโนะสุเกะ เข้าใจถึงภาระอันแสนหนักหน่วงของเสาหลัก และทำให้ทั้งสามเติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง คนที่เป็นแฟนซีรี่ส์นี้ก็คงจะต้องไปดูกัน แต่ถ้าหากยังไม่เคยดูซีรี่ส์หลักมาก่อน แนะนำให้ลองไปหาดูอนิเมภาคแรกให้จบก่อนจะมาดูหนังโรงนะครับ
ส่วนเรื่องพากย์ไทยที่ดราม่ากันอยู่ ผมขอไม่มีความเห็นละกัน เพราะตัวผมดูแบบเสียงญี่ปุ่นครับ (ลืมบอกไป เรื่องนี้มีแบบเสียงญี่ปุ่นซับไทยให้เลือกดูกันด้วยนะ)