The Mitchells vs. the Machines เป็นอนิเมชั่น CG จากค่ายโซนี่ ที่พูดกันตามตรงว่าเกือบจะมองข้ามมันไปแล้ว เพราะโดยชื่อเรื่องกับหน้าหนังนั้นไม่ใช่สไตล์ที่ผมดูเลย คงเพราะรู้สึกว่ามันเป็นหนังการ์ตูนครอบครัวสำหรับเด็กธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง แต่เพราะ Covid-19 ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ตามปกติ และถูกนำมาลง Netflix ให้ชมกันแทน ซึ่งพอได้ดูแล้วก็รู้สึกเลยว่า..มันมีอะไรให้พูดถึงเยอะจริงๆ
สำหรับเนื้อเรื่องก็ตามชื่อเรื่องเลยครับ บ้านมิตเชลล์ปะทะจักรกล หนังครอบครัวแบบ Road Movie ผสมไซไฟ ซึ่งแก่นหลักพูดถึงช่องว่างระหว่างวัยของพ่อและลูก โดยเคธี่ลูกสาวนั้นอยากจะเป็นคนทำหนัง มีหนังออนไลน์ออกมาใน youtube หลายเรื่อง แต่พ่อที่เป็นคนโลวเทคไม่เข้าใจ ไม่อยากสนับสนุนเพราะกลัวลูกจะเอาตัวไม่รอด ดังนั้น เพื่อปรับความสัมพันธ์ในครอบครัว บ้านมิตเชลล์ก็เลยตัดสินใจขับรถข้ามรัฐไปส่งเคธี่เข้ามหาวิทยาลัย เพราะนี่อาจเป็นการเดินทางร่วมกันเป็นครอบครัวครั้งสุดท้าย แต่ระหว่างนั้นโลกกลับถูกยึดครองโดยกองทัพมนุษย์หุ่นยนต์ ซึ่งมีบอสใหญ่เป็นสมองกลในโทรศัพท์มือถือของ CEO บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก (ที่โลโก้ดูคุ้นๆ มาก)
ในมุมมองของคนนอก บ้านมิตเชลล์นั้นถือเป็นครอบครัวที่ผิดปกติ คนในครอบครัว พ่อ แม่ พี่สาว น้องชาย นั้นมีความต่างกันแบบสุดขั้ว ทั้งอุปนิสัย รสนิยม ช่องว่างระหว่างวัย กระทั่งหมาของบ้านนี้หน้าตาก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา แต่ด้วยความที่พวกเขาไม่เหมือนใครนี่แหละ ทำให้ครอบครัวนี้กลายเป็นครอบครัวเดียวที่รอดจากการโจมตีของเหล่าหุ่นยนต์ได้อย่างฉิวเฉียด (ดวงดีด้วย) และพวกเขาก็กลายเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยมนุษยชาติที่กำลังตกเป็นทาสอินเตอร์เน็ตงอมแงมให้หลุดรอดจากแผนการร้ายของเหล่าจักรกลที่หมายจะครองโลกนี้ ทว่าครอบครัวมิตเชลล์ที่ดูเหมือนจะมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันอยู่ตลอดเวลา จะร่วมมือกันเพื่อกอบกู้โลกได้หรือไม่ เพราะเอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ทุกคนในบ้านที่อยากจะกู้โลกด้วยซ้ำไป..
งานอนิเมทำออกมาแบบ CG ตามสมัยนิยม ผสมกับ Pop Art แบบออนไลน์ สีสันจัดจ้านสไตล์สติกเกอร์แชท และวัฒนธรรมโซเชียลที่ถูกนำมาแทรกอยู่ในเนื้อหาตลอดเรื่อง รวมถึงมุกล้อ Pop Culture มากมาย ที่เหมือนกำลังจะล้อเลียนสังคมก้มหน้าอีกชั้นหนึ่ง (จึงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ที่บอสใหญ่ของเรื่องจะเป็นโทรศัพท์มือถือ) ทำให้ The Mitchells vs. the Machines เป็นหนังร่วมสมัยที่แม้โดยพล็อตเรื่องเราก็จะรู้ว่ามันจะเป็นไปตามสูตรสำเร็จ คือสุดท้ายครอบครัวนี้ก็จะกู้โลก และความสัมพันธ์ของครอบครัวก็จะกลับมาดีดังเดิม แต่เส้นเรื่องระหว่างทางนั้นกลับเต็มไปด้วยพล็อตที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย และเอาจริงๆ ก็ไม่อยากให้เดาหรือหาสปอยล์อ่านกันด้วยครับ เพราะผมว่าการคาดเดาอะไรไม่ได้นี่ก็เป็นจุดสนุกอีกจุดหนึ่งของเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
The Mitchells vs. the Machines กำกับและเขียนบทโดย Mike Rianda และ Jeff Rowe และถือเป็นผลงานภาพยนตร์เปิดตัวเรื่องแรกของ Mike Rianda ด้วย แถมเธอยังเป็นคนให้เสียงพากย์อารอน น้องชายของเคธี่ด้วยนะครับ ซึ่งผลตอบรับนั้นก็ถือว่าดีม่ากๆ กวาดคำชมไปได้จากหลายสำนัก เสียดายที่ได้ฉายโรงใหญ่แบบจำกัดโรงเพราะสถานการณ์โควิด แต่การลง Netflix ก็ทำให้หลายๆ คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อน (เช่นผม) ได้ชมกันแบบง่ายๆ นี่แหละครับ ซึ่งในตอนนี้มันก็กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ไปแล้วแหละ