หนังโรงเรื่องที่สองของ MY HERO ACADEMIA ที่ได้ฉายในไทยไปเมื่อปีที่แล้ว แต่บรรยากาศ/กระแสตอนนั้นอาจจะไม่ได้คึกคักมากเพราะเป็นช่วงโควิด หลายๆ คนก็เลยไม่ได้ไปดูกัน มาถึงตอนนี้ตัวหนังก็ถูกนำมาให้ชมกันถึงบ้านผ่านทาง Netflix แล้วครับ มาพร้อมๆ กันกับ My Hero Academia: Two Heroes ซึ่งเป็นหนังโรงภาคก่อนหน้าเลย
สำหรับเนื้อเรื่องในภาคนี้ พวกมิโดริยะ(เดกุ) และเพื่อนๆ ต้องมารับหน้าที่เป็นฮีโร่ประจำการที่เกาะนาบุ เกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เหตุการณ์ในเกาะก็ดูสงบสุขดีจนกระทั่ง ไนน์ ตัวร้ายที่ดันมีพลังคล้ายกับออลฟอร์วัน คือความสามารถในการขโมยอัตลักษณ์ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ได้พาพรรคพวกมาบุกถล่มเกาะนาบุเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง และบนเกาะนี้ก็ดันไม่มีฮีโร่มืออาชีพประจำการด้วย มีแต่พวกมิโดริยะที่เป็นฮีโร่ฝึกหัดเท่านั้น…
ตัวแปรสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ก็คือ มาโฮโระและคาสึมะ สองพี่น้องที่ดูเหมือนจะมีพลังอัตลักษณ์บางอย่างที่ไนน์นั้นต้องกา่ร ทว่าตัวมาโฮโระเองก็ไม่ชอบพวกฮีโร่ ในขณะที่คาสึมะนั้นก็คิดว่าอัตลักษณ์ของคนนั้นไร้ประโยชน์ ไม่สามารถเป็นฮีโร่กับเขาได้ แต่เมื่อสองพี่น้องได้พบกับเดกุและบาคุโก ที่พยายามปกป้องทั้งสองโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเอง ก็ทำให้ทัศนคติที่มีต่อฮีโร่ของทั้งสองพี่น้องเปลี่ยนไป
จุดเด่นของหนังโรงภาคนี้จะแตกต่างจากภาคก่อนตรงที่จะเน้นไปที่ฉากต่อสู้ค่อนข้างมาก และเป็นภาคที่เหล่าเพื่อนๆ ร่วมชั้นของมิโดริยะต่างก็ได้โชว์ความสามารถกันอย่างเต็มที่ และที่สำคัญก็คือ อ.โฮริโคชิ โคเฮย์ ได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ว่า ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องนี้คล้ายกับตอนจบของการ์ตูนเรื่องนี้ในอีกรูปแบบหนึ่งที่ อ.โฮริโคชิเคยคิดไว้ (แต่ไม่ได้ใช้) ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า อ.โฮริโคชิจะสื่อถึงอะไร แต่พอได้ชมแล้วก็เข้าใจได้เลยครับ เพราะตัวไนน์นั้นก็มีพลังแบบเดียวกับออลฟอร์วัน (บอสใหญ่ของเนื้อเรื่องหลัก) และการร่วมมือกันของเดกุและบาคุโกเพื่อสู้กับไนน์นั้นก็ถือเป็นฉากต่อสู้ในอุดมคติอีกรูปแบบหนึ่ง ที่หากเอาไปทำตอนจบจริงๆ ก็อาจจะเจ๋งมากเลยก็ได้
ตัวภาพนตร์เรื่องนี้ฉายที่ญี่ปุ่นในช่วงปลายปี 2019 (แต่เข้าไทยปี 2020) สามารถทำรายได้แซงข้าม My Hero Academia: Two Heroes ไปได้ในสัปดาห์ที่ 9 ของการออกฉาย และได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกจากแฟนๆ ไม่น้อย แถมตัวอนิเมยังได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์หลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยทำรายได้รวมทั่วโลกไปถึง 28.7 ล้านเหรียญสหรัฐเลยครับ ใครที่ยังไม่ได้ดู ก็ลองหาดูกันใน Netflix นะ