[ดูจบแล้ว]Evangelion: 3.0 + 1.01 Thrice Upon a Time

หลังจากรอคอยกันมานาน ในที่สุด คนไทยก็ได้ดู Evangelion: 3.0 + 1.01 Thrice Upon a Time ภาคปิดตำนาน 25+1 ปี มหากาพย์อนิเมแห่งยุคเอวานเกเลี่ยนกันเสียทีครับ แม้ว่ามันจะน่าเสียดายที่เราจะไม่ได้ดูในโรง แถม TIGA ก็เลิกทำภาคนี้แล้ว แต่เราก็ยังได้ดูกันผ่านระบบสตรีมมิ่งแบบถูกลิขสิทธิ์พร้อมกันทั่วโลกผ่าน Amazon Prime ที่ใจดีมีซับไทยให้ด้วย (หนังค่ายนี้ไม่ได้มีซับไทยทุกเรื่องนะครับ)

สำหรับเนื้อหาของภาคนี้ ก็อย่างที่บอกแหละครับ มันเป็นภาคปิดตำนานจริงๆ คือจบทุกอย่างได้อย่างลงตัว อะไรที่ค้างคาใจเราก็จะได้เข้าใจกันแบบเคลียร์ๆ กันแทบทุกประเด็น แม้เนื้อเรื่องนั้นเหมือนจะเป็นเส้นตรง ไม่มีอะไรให้ตีความกันเยอะ แต่ในส่วนของซับพลอตต่างๆ ก็สามารถตอบสนองความต้องการของแฟนๆ ของเอวาเกเลี่ยนได้เป็นอย่างดี

ในช่วงต้นเรื่อง เราได้ย้อนความรู้สึกไปถึงตอนที่ดู Nadia The Secret of Blue Water ผลงานเก่าเก็บของ อันโนะ ฮิเดอากิ กับฉากการต่อสู้ที่หอไอเฟล และเอวาภาคนี้ยังเต็มไปด้วยฉากการต่อสู้ระหว่างยานรบ รวมถึงฉากต่อสู้ด้วยสายสลิงที่ให้ความรู้สึกถึง AOT อยู่หน่อยๆ แต่มันก็ทำให้เราได้รู้สึกถึงความทันสมัย ฉากต่อสู้ที่ตระการตา แปลกใหม่ ที่เอวานเกเลี่ยนเคยทำได้เมื่อ 26 ปีก่อน มาถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่า มันยังดูไม่เชยเลย

มาถึงช่วงกลางเรื่อง ความรู้สึกเหมือนถูกปรับให้กลายเป็นหนังจิบลิ โลกสวย สุขนิยม ได้เห็นตัวละครที่เราคิดถึงเติบโตขึ้น มีชีวิต เป็นผู้ใหญ่ ชะตาชีวิตของเพื่อนๆ ชินจิ รวมถึงความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่โหดร้าย มันสื่อถึงความหวังของมนุษยชาติ การเติบโตของ อายานามิ เรย์ ในฐานะมนุษย์ และการก้าวผ่านความสิ้นหวังของชินจิ รวมถึงสารพัดกิมมิคที่ใส่เข้ามาเอาใจแฟนๆ เรื่องนี้ และจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชินจิที่หนีความจริงต้องกลับมาต่อสู้อีกครั้ง แม้จะรู้ว่าเส้นทางที่เขาเลือกมีความทุกข์ทรมานรออยู่

ช่วงที่สามของเรื่อง มันคือฉากการต่อสู้ที่อัดแน่น แต่กลับเป็นช่วงที่ผมไม่ชอบมากนักหากเทียบกับช่วงแรก ฉากต่อสู้ด้วยยานรบทำได้น่าสนใจดี และการรับมือกับกองทัพเอวาสารพัดรูปแบบก็ดูน่าตื่นตากับดีไซน์ที่แปลกใหม่ แต่รู้สึกว่ามันไม่น่าจดจำ อาจเพราะการประดังยัดสารพัดเอวาเข้ามาในช่วงนี้มันดูแล้ววูบวาบไปหน่อย ไม่ได้เห็นเอกลักษณ์อะไรสักเท่าไหร่ แต่จุดเด่นคงหนีไม่พ้นการต่อสู้ของอาสึกะ ที่ผมรู้สึกเหมือนการ “แก้มือ” ตอนที่อาสึกะพ่ายแพ้ต่อเอวาซีรี่ส์ในหนังโรงชุดเก่า แต่ควาวนี้อาสึกะได้โชว์พลังอัดกองทัพเอวาแบบหมดแม็กชนิดที่ว่าแพ้ก็สมศักดิ์ศรีไม่ได้เสียใจอะไรแล้ว แต่ด้วยความรวดเร็วของการเดินเรื่องในช่วงนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ยังไม่อิ่มสักเท่าไหร่นัก (แต่ก็เป็นฉากต่อสู้ที่นานเอาเรื่องนะ)

และช่วงสุดท้าย มันคือการเคลียร์ความคาใจทั้งหมดของครอบครัวอิคาริ เอวานเกเลี่ยนมันเริ่มต้นมาจากความขัดแย้งระหว่างพ่อลูกอิคาริ และมันก็ต้องจบด้วยพ่อลูกอิคารินี่แหละครับ เราจะเข้าใจว่า ทั้งหมดที่ผ่านมา เก็นโด ทำไปเพื่ออะไร ทำไมถึงกล้าท้าทายพระเจ้า กล้าถึงขนาดยอมสังเวยมนุษยชาติ เพื่อที่จะ… ความสัมพันธ์ระหว่างเก็นโด ยูอิ และ ชินจิ ที่เกิดรอยร้าวมานาน หลังจากที่เอวาทีวีซีรี่ส์ยุคก่อน คือการก้าวผ่านหัวใจของชินจิ ในภาคนี้ก็จะเป็นการก้าวผ่านหัวใจของเก็นโด และทั้งสองพ่อลูก ก็จะต้องเคลียร์ใจกันให้ได้ เพื่อปิดตำนานมหาสงความวันพิพากษาครั้งนี้

อิคาริ เก็นโด

ถ้าถามว่าอิ่มใจไหม ก็โอเคนะครับ มันอิ่ม มันแน่น มันเหมือนเป็นหนังระบายอารมณ์อัดอั้นของ อันโนะ ฮิเดอากิ ที่ปลอดปล่อยทุกอย่างที่มีในใจออกมาหมด แต่ถามว่าพอใจไหม ก็ต้องบอกว่า มันยังไม่สุดนะ แม้ตัวหนังจะยาวถึงสองชั่วโมงครึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็คิดว่าจบได้ดีและน่าพอใจแล้วล่ะครับ ถ้าขืนฝืนไปต่อมันจะยิ่งจบไม่ลงเข้าไปอีก ซึ่งตอนนี้ใครอยากดูก็เชิญไปดูกันได้เลยครับทาง Amazon Prime ซึ่งตอนนี้สมัครสมาชิกแล้วดูฟรี 7 วัน ถ้าใครอยากดูเอวาแค่เรื่องเดียวก็อาศัยช่วง 7 วันดูฟรีนี่แหละครับ อาจจะเสียเวลาตอนสมัครนานนิดหน่อย แต่ข้อดีคือมันสามารถดูบน PS4-PS5 หรือสมาร์ททีวีได้ด้วย พอดูจบแล้ว เราจะได้มาร้อง “โอเมเดโตะ” ร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายครับ