Cowboy Bebop เป็นหนึ่งในอนิเมฮิตระดับตำนานของ Sunrise ในปี 1998 ที่ประสบความสำเร็จในตลาดสากล โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตกสูงมาก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอนิเมหัวหอกที่ไปบุกตลาดต่างประเทศในยุค 90 เลยครับ แต่ในตลาดเอเซีย รวมถึงไทยและญี่ปุ่น กลับไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ขนาดในญี่ปุ่นเอง ตอนที่ออกอากาศครั้งแรก ยังถูกลดจำนวนตอนจาก 26 ตอน เหลือ 13 ตอนด้วยซ้ำไป
ตัวอนิเมเป็นแบบจบในตอน (เป็นส่วนใหญ่) เนื้อหาในโลกอนาคตปี 2071 ยุคที่การมีการพัฒนาประตูอวกาศมาแล้วกว่า 50 ปี ทำให้การเดินทางระหว่างดวงดาวเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ตัวเอกของเรื่องคือ สไปค์ สปีเกล และ เจ็ต แบล็ค นักล่าค่าหัวแห่งยาน Bebop ที่ตะลอนไปไล่ล่าเหล่าอาชญากรที่มีค่าหัวไปทั่วอวกาศ ที่จะมีการประกาศค่าหัวผ่านรายการโทรทัศน์ชื่อบิ๊กช็อต และมักมีเงื่อนไขให้จับเป็นเท่านั้น
โดยตอนหลังยาน Bebop ก็จะมีสมาชิกมาเพิ่ม ประกอบด้วย หมาคอร์กี้ที่ชื่อไอน์ สาวสวยเจ้าเล่ห์ เฟย์ วาเลนไทน์ และอัจฉริยะแฮกเกอร์รุ่นเยาว์ เอ็ด (ที่เหมือนเด็กผู้ชาย แต่จริงๆ เป็นเด็กผู้หญิง) ซึ่งทุกคนล้วนแต่มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน แต่ก็มารวมตัวอยู่ในยานลำเดียวกันเพื่อไล่ตามอดีตที่หลอกหลอนและเชื่อมโยงกันด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป
จุดเด่นของอนิเมเรื่องนี้ ก็คือพล็อตเรื่องที่ดูไม่เชยเลยแม้จะมาดูในยุคปัจจุบัน และบรรยากาศสไตล์หนังคาวบอยอวกาศที่ดูแหวกมากสำหรับอนิเมปี 1998 ตัวละครและบรรยากาศในเรื่องที่มีความเป็นนานาชาติ รวมถึงสารพัด Easter Egg ตั้งแต่ชื่อตอนที่ได้แรงบันดาลใจจากชื่อเพลงและอัลบั้มของศิลปินยอดฮิตที่คอเพลงตะวันตกต้องคุ้นเคยกันดีแน่นอน และเพลงประกอบของเรื่องนี้ ของคันโนะ โยโกะ ก็ดีงามมากๆ ด้วย
ส่วนวิชาการต่อสู้สไตล์กังฟูของสไปค์ก็ได้เแรงบันดาลใจจากบรูซลี ไปจนถึง Easter Egg จากหนังคลาสสิคชื่อดังขวัญใจนักวิจารณ์อีกมาก ทั้งหมดถูกเล่าแบบมีชั้นเชิงสไตล์หนังสั้นจบในตอน (บางตอนก็จบแบบห้วนๆ) ซึ่งสำหรับคนญี่ปุ่นมันเป็นเรื่องที่ดูไม่คุ้นชินเอาเอาเสียเลย แต่มันกลับโดนใจแฟนๆ ตะวันตกที่ในยุคนั้นยังไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่าอนิเมสักเท่าไหร่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อนิเมเรื่องนี้โด่งดังในตลาดตะวันตกมากกว่าในญี่ปุ่น ถึงขนาดที่ว่า ดาราดังอย่าง “คีอานู รีฟส์” ยังเคยมีข่าวว่าจะมารับบทเป็น สไปค์ ตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อน
และก่อนที่เราจะได้สัมผัสกับ Cowboy Bebop ฉบับคนแสดง ทาง Netflix ก็เอา Cowboy Bebop ฉบับอนิเมมาให้ดูกันก่อน แม้ว่าจะเป็นอนิเมเก่า 23 ปีแต่บอกเลยครับว่างานภาพนี่ระดับ OVA เลยครับ ถ้าไม่เห็นว่าภาพยังเป็น 4:3 SD นี่นึกว่าเป็นอนิเมสมัยใหม่ด้วยซ้ำ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะแนะนำให้ลองดูกัน เพราะเรื่องนี้ถือเป็นหมุนหมายสำคัญที่ทำให้อนิเมญี่ปุ่นเริ่มได้รับการยอมรับจากผู้ชมในฝั่งตะวันตกเลยครับ แล้วพอดูจบค่อยไปดูฉบับคนแสดงต่อ น่าจะได้อรรถรสมากขึ้นเยอะเลย