Mobile Suit Gundam SEED Freedom เป็นภาพยนตร์อนิเมเรื่องล่าสุดในจักรวาล Gundam Seed ซึ่งถือเป็นซีรี่ส์กันดั้มที่ประสบความสำเร็จสูงมากถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มี Gundam Seed จักรวาลกันดั้มอาจถูกบันไดสั่งปิดตายไปแล้วก็ได้ เพราะก่อนที่โลกจะรู้จักกับ Gundam Seed ในปี 2003 แฟรนไชส์กันดั้มในช่วงนั้นอาจจะเรียกได้ว่าทรุดหนัก ยอดขายหุ่นก็ตกฮวบ อนิเมซีรีส์ก็ไม่รุ่งเท่าที่คิด (X,Turn A) จะเปิดโปรเจคอะไรใหม่ๆ เช่นหนังคนแสดง (G-Saviour) หรือให้ดีไซน์เนอร์ระดับโลกมาออกแบบ (Turn A) ก็ไปไม่รอด จนมาได้ Gundam Seed นี่แหละครับ ที่ปลุกแฟรนไชส์กันดั้มให้คืนชีพได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้คนรุ่นใหม่ (ในยุคนั้น) หันมาสนใจกันดั้มมากขึ้นจนมาถึงทุกวันนี้
Gundam Seed สนุกยังไง..อธิบายง่ายๆ มันก็คือการเอาเค้าโครงของจักรวาล Gundam ใน UC มาตีความและเล่าใหม่ ใส่ประเด็นทางสังคมที่ทันสมัยเข้ากับสถานการณ์แต่ยังสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก ดีไซน์หุ่นที่น่าสนใจถูกใจแฟนดั้งเดิม และคาแรกเตอร์ที่มีเรื่องราวเคล้าดราม่าที่น่าสนใจถูกใจแฟนๆ รุ่นใหม่ ทำให้ Gundam Seed และคู่พระเอก คิระ-อัสรัน ดังสุดๆ จนต้องมีภาคต่อตามมา คือ Mobile Suit Gundam SEED Destiny ในปี 2004 ซึ่งก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน (ทั้งที่ภาคนี้เหมือนจะโดนด่ารอบทิศ แต่ยอดขายแผ่นภาคนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 68,959 ชุด สูงกว่าภาค Seed ที่ขายได้เฉลี่ย 58,939 ชุด และเป็นอนิเมซีรีส์ที่ขายดีที่สุดในปีที่ออนแอร์ทั้งสองภาค) จนโปรเจคทำหนังโรงของ SEED ได้รับการอนุมัติตั้งแต่ปี 2006 แต่ก็ต้องเลื่อนไปเรื่อยๆ เนื่องจากคนเขียนบทคือคุณ โมโรซาวะ จิอากิ เกิดล้มป่วยลง ซึ่งคุณโมโรซาวะนั้นก็เป็นภรรยาของคุณฟุกุดะ มิตสึโอะ ผู้กำกับ Gundam Seed ด้วย ทำให้โปรเจคนี้โดนพักยาวจนกระทั่งคุณโมโรซาวะเสียชีวิตไปในปี 2016 โปรเจคนี้จึงได้ถูกนำกลับมาสร้างต่อ โดยผู้กำกับฟุกุดะคนดีคนเดิมก็ยังคงใช้บทภาพยนตร์ที่คุณโมโรซาวะเขียนไว้เป็นโครงหลักตามที่ตั้งใจไว้
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ถ้าธีมของภาพยนตร์เรื่องนี้ มันคือ “ความรัก” เพราะแรกเริ่มเดิมทีมันเกิดจากความรักของ ผกก.ฟุกุดะ ที่มีต่อภรรยานั่นแหละครับ โดยเนื้อเรื่องจะเกิดขึ้นในปี C.E.75 หลังจากเหตุการณ์ภาค Destiny ซึ่งแม้พวกคิระจะปิดฉากสงครามไปแล้ว แต่กลุ่ม Blue Cosmos ขาประจำเจ้าเดิมที่เหยียดชาวโคออร์ดิเนเตอร์ก็ยังคงสร้างความวุ่นวายอยู่เรื่อยๆ จึงมีการก่อตั้งกลุ่มสังเกตการณ์พิเศษที่ชื่อ Compass มาเป็นคนกลางคอยมาจัดการไม่ให้ปัญหาลุกลาม (จริงๆ มันก็เหมือนกับกองกำลังพิเศษคอยไล่ล่าบลูคอสมอสนั่นแหละ) โดยมีลักส์ เป็นผู้นำ และมีคิระ ชิน ลูน่ามาเรีย รวมถึงตัวละครใหม่อย่างเควส เอ๊ย แอกเนส อยู่ในหน่วยนี้ด้วย
ในขณะที่พวกคิระกำลังวุ่นวายกับการไล่ล่าบลูคอสมอส ก็กลับมีขั้วอำนาจใหม่ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ในยูเรเซียตอนใต้ที่ชื่อฟาวเดชั่นกำลังเติบโตมีอำนาจขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะฟาวเดชั่นมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า อย่างหน่วยรบแบล็กไนท์ที่มีระบบเกราะโมบิลสุทแบบใหม่ที่อาวุธธรรมดาทั่วไปเจาะไม่เข้า ไปจนถึงมนุษย์พันธ์ใหม่ที่พัฒนาจากโคออร์ดิเนเตอร์อีกขั้นหนึ่ง ที่ความสามารถพิเศษที่สามารถเข้า “แทรกแซงความคิดได้” แถมฟาวเดชั่นยังมีเป้าหมายที่จะใช้งานคิระ ให้เป็นตัวเปิดสงครามครั้งใหม่ และต้องการที่จะดึงลักส์เข้ามาเป็นพวก ทำให้พวกคิระถึงกับไปไม่เป็น โดนหลอก หุ่นพังเละเทะ ยานอาร์คแองเจิ้ลที่อยู่รอดมาทุกซีซันมาภาคนี้ยังไปไม่รอด (แต่ลูกเรือไม่มีใครตาย…สมเหตุสมผลสุดๆ) แถมลักส์ก็ยังโดนดึงตัวไปอยู่ฝ่ายฟาวเดชั่นแบบใจไม่จำยอมอีก แต่โชคดีที่พวกคิระยังมีอัสรันและออร์บของคางาริ คอยแอบช่วยเหลืออยู่อย่างลับๆ ออกหน้าออกตามากไม่ได้เพราะบทบาทต้องวางตัวเป็นกลาง จนในที่สุดปฏิบัติการทวงเมีย เอ้ย ช่วยเหลือลักส์และหยุดแผนการร้ายของพวกฟาวเดชั่นเริ่มต้นขึ้น
จุดเด่นของหนังโรงภาคนี้ ที่ชัดเจนมากก็คือ มันสนุกครับ แม้งานภาพของหนังโรงอาจจะไม่ได้ดีมาก แถมมีหน้าเบี้ยวให้เห็นหลายซีนอีก มีเผางานแบบไม่เนียนด้วย แต่ความสนุกของเรื่องมันดันกลบข้อเสียหมด และที่มันสนุกก็เพราะมันเหมือนทำออกมาเอาใจแฟนๆ ภาค SEED จริงๆ ครับ คืออะไรที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนจุดด้อยของ Gundam SEED Destiny ที่ทำให้ ผกก.แกเคยถูกด่ามาก่อน แกเอามาขยี้หมดราวกับประชดคนดู แต่โดยรวมดันออกมาสนุกและฮามาก อยากเห็นคิระโชว์เทพก็ได้เห็น (แถมหนักข้อกว่าเดิม อีกก้าวเดียวฟรีด้อมจะเป็นซูเปอร์โรบอตแล้ว) อยากเห็นบทรักของคิระกับลักส์ ก็จัดไปสิ การรียูสหุ่นเก่าจาก UC ก็มา (แถมเยอะด้วย) รวมถึงสารพัดมุกช็อตฟีลล์ที่ฮามาก เช่นพวกแบล็กไนท์ดันอ่านใจชินไม่ได้ เพราะในหัวชินมันไม่คิดอะไรเลย (ฮา) หรือกระทั่งอัสรันเองก็แก้มือการอ่านจิตของพวกแบล็กไนท์ด้วยการคิดเรื่องลามกในหัวเฉย (แล้วคิดว่าอัสรันจิ้นถึงใครล่ะ) ซึ่งมุกช็อตฟีลล์หน้าตายแต่ละดอกในเรื่องนี่ มันชวนหลุดกรอบคาแรกเตอร์มาก แต่แฟนๆ กลับรู้สึกว่ามันสนุก และเรียกเสียงฮือฮาได้ทุกช็อตจริงๆ บางมุกนี่ถึงขั้นปรบมือกันทั้งโรงเลย
ในส่วนตัวละครถือว่าเกลี่ยบทได้ดี ตัวละครเก่าได้กลับมามีบทให้หายคิดถึงกันหมด แม้กระทั่งวิญญาณโฟร์ มุราซาเมะ เอ๊ย สเตลล่า (ฮา) แต่ตัวละครที่ผมถือว่า ประสบความสำเร็จที่สุดในเรื่อง ก็คือชินนั่นแหละครับ แม้ว่าตัวหนังจะเป็นเรื่องราวของคิระ แต่ชินกลับเป็นตัวละครที่สามารถ “แก้กรรม” ตัวเองจากภาคก่อนได้สำเร็จ ภาคนี้เราจะไม่เห็นชินฟูมฟายเวิ่นเว้อแล้ว แต่กลับเป็นชินผู้แสนดีที่ภักดีต่อคิระชนิดติดสอยห้อยตามต้อยๆ คอยปกป้องคิระแถมยังได้บทโชว์เทพเด่นๆ อีก และด้วยนิสัยที่ใสซื่อจนบื้อ ขนาดในเรื่องยังโดนด่าว่าชินเป็นแค่ “ลิงภูเขา” ด้วยซ้ำ แต่ผมว่าชินเวอร์ชั่นนี้ เป็นเวอร์ชั่นที่ดูเป็นผู้เป็นคนถูกใจแฟนๆ มาก เหมือนฟุกุดะเอาชินเวอร์ชั่น SRW มาผสมกับความบ้าความฮาจนกลายเป็นชิน อาสุกะที่ผ่านการแก้กรรมและได้รับการยอมรับจากแฟนๆ อีกครั้ง
ส่วนจุดอ่อนของเรื่องนั้น ก็บอกตามตรงว่า ถ้ากางบทออกมาดูดีๆ นี่พรุนเลยครับ หลายอย่างมันดูไม่สมเหตุสมผล ตัวร้ายก็ดูร้ายแบบขาวดำเลย ซึ่งผิดกับอนิเมกันดั้มส่วนใหญ่ที่จะดูเทาๆ ไม่มีใครถูกใครผิดที่ชัดเจน แต่ภาคนี้ชัดมาก ฝั่งนึงก็พระเอก ฝั่งนึงก็ผู้ร้ายที่เลวได้โล่ (แถมไปไปมามายังวนๆ แต่เรื่องแย่งผัวแย่งเมีย อุดมการณ์ Destiny Plan คืออะไรไม่รู้) หรือการยัดจัสติสลงไปในสก็อก (ซึ่งลอกมุกมาจาก Gundam Build Fighter Try อีกที) นี่ถึงกับทำให้แฟนๆ มึนตึ๊บว่า..ทำไปเพื่อ! (แต่จริงๆ แฟนๆ ก็ชอบนะ แฟนอาร์ทเกลื่อนเลย) แต่ท่ามกลางความแหกตรรกะไม่สมเหตุสมผล ภาพรวมมันกลับออกมาสนุก และถูกใจแฟนๆ สุดๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวหนังทำรายได้ถล่มทลายที่ญี่ปุ่นและกำลังจะกลายเป็นหนังโรงกันดั้มที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วย!
ส่วนตัวผมน่ะหรือ..ดูจบแล้วกดสั่งซื้อกันพลาภาคนี้เลยครับ เรียกได้ว่านอกจากรายได้หนังจะดีแล้ว ของเล่นก็ยังขายได้ด้วยนะ….