DANDADAN น่าจะเรียกได้ว่าเป็นอนิเมที่มีกระแสแรงที่สุดในช่วงปลายปี 2024 ตัวอนิเมสร้างจากต้นฉบับหนังสือการ์ตูนของ ยูกิโนบุ ทัตสึ นักเขียนการ์ตูนที่ขึ้นชื่อว่าสู้ชีวิตที่สุดคนหนึ่งของวงการยุคใหม่ เพราะกว่าจะได้มาเขียนการ์ตูนเรื่อง Dandadan เขาต้องผ่านการเสนองานมาแล้วหลายสำนักพิมพ์ และเป็นผู้ช่วยนักเขียนการ์ตูนมาแล้วหลายคน รวมถึง คาคุยูจิ (สุขาวดีอเวจี) และ ฟูจิโมโตะ ทัตสึกิ (Chainsaw Man) ด้วย
Dandadan เป็นเรื่องราวสุดขั้วของโมโมะ อายาเสะ เด็กสาวมัธยมปลายที่เชื่อเรื่องผีแต่กลับไม่เชื่อเรื่องเอเลี่ยน และ โอคารุน เด็กผู้ชายสไตล์เนิร์ดที่เชื่อเรื่องเอเลี่ยนแต่ไม่เชื่อเรื่องผี ที่ทั้งสองต้องมาจับคู่กันและเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของความเชื่อของทั้งสอง โมโมะถูกมนุษย์ต่างดาวที่หน้าตาโคตรคุ้นลักพากตัวไป และพบว่าตัวเองนั้นมีพลังจิต ในขณะที่โอคารุนกลับต้องมาเผชิญกับผียายแก่เทอร์โบที่หวังจะช่วงชิงอวัยวะเพศของโอคารุนจนกลายเป็นเรื่องวุ่นวายตามมาแบบคาดไม่ถึง
ด้วยพล็อตเรื่องที่หลุดโลก แถมล้อเลียนส่อเสียดเขาไปทั่ว ผสมกับลายเส้นที่บ้าพลังได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้ Dandadan กลายเป็นการ์ตูนฮิตที่มียอดอ่านออนไลน์สูงถึง 360 ล้านวิว (ปี 2023) และรวมเล่มก็มียอดพุ่งไปถึง 5 ล้านเล่มในเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น พอเรื่องนี้กลายเป็นอนิเมโดยสตูดิโอที่ทำผลงานแบบหลุดโลกไม่แพ้กันอย่าง Science Saru (ก่อตั้งโดย Eunyoung Choi ผู้กำกับสาวชาวเกาหลีที่ทำอนิเมอยู่ในญี่ปุ่น) ซึ่งค่ายนี้เคยสร้างผลงานแหวกกระแสแต่ถูกใจนักวิจารณ์อย่าง Scott Pilgrim Takes Off ก็ยิ่งทำให้ผลงานเรื่องนี้ถูกจับตามองมากขึ้นไปอีก
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว Science Saru ทำผลงานเรื่องนี้ออกมาได้น่าสนใจ แม้ลายเส้นจะไม่บ้าพลังเหมือนในการ์ตูน แต่กลับมีการเล่าเรื่องที่จัดจ้าน หวือหวา เต็มไปด้วยสีสันและมีแนวทางในการตีความและเล่าเรื่องในแบบของตนที่ให้อรรถรสในการรับชมที่ไม่เหมือนใคร และนั่นก็ทำให้อนิเมเรื่องนี้กลายเป็นผลงานที่แตกต่างจากอนิเมเรื่องอื่นๆ จนกลายเป็น Talk of The Town ส่งท้ายปีไปเลย
อย่างไรก็ตาม Dandadan อาจจะไม่ใช่การ์ตูนที่เหมาะกับทุกคน ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องที่หวือหวาแสบตา และมุกล้อเลียนที่มีทั้งเข้าใจง่ายและเข้าใจยาก แถมบางมุกก็โคตรดักแก่และอาจเฉพาะทางกันแบบสุดโต่ง ทำให้นี่อาจเป็นผลงานที่มีทั้งคนที่ชอบมาก และบางคนก็อาจจะไม่ชอบแบบสุดๆ ไปเลย แต่โดยส่วนตัวแล้วสำหรับผมมันสนุกมากครับ และก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ซีซัน 1 จะตัดจบกันแบบห้วนๆ แบบไม่เกรงใจใครพร้อมประกาศซีซัน 2 ตามมาทันที (แต่รออีกหลายเดือน) ซึ่งผมบอกเลยว่า การ์ตูนเรื่องนี้ยังมีอะไรให้แปลกใจกันอีกเยอะ ถ้าทนรอไม่ไหวก็คงต้องไปหาการ์ตูนมาอ่านกัน (อนิเมจบประมาณเล่ม 5 ช่วงต้นเล่ม) และตัวผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า Science Saru จะเล่าเรื่องนี้ต่อในรูปแบบไหน…