[ดูจบแล้ว]Ohsama Sentai King-Ohger

Ohsama Sentai King-Ohger น่าจะเป็นขบวนการเซ็นไตขบวนการแรกในรอบหลายปี ที่ทำให้ผมเฝ้ารอที่จะชมตอนต่อไปในทุกเช้าวันเสาร์(เวอร์ชั่นไทยนะ) เป็นเวลายาวนานถึง 1 ปีเต็ม และจบลงด้วยความอิ่มในความจัดเต็มของเนื้อหาช่วง 3 ตอนสุดท้ายสมกับที่หลายๆ คนยกให้มันเป็นอเวนเจอร์เอนด์เกมเวอร์ชั่นเซ็นไตจริงๆ

ด้วยเซ็ตติ้งเรื่องราวที่แหวกขนบเซ็นไตทุกเรื่อง โดยเรื่องราวเกือบจะทั้งหมดเกิดขึ้นบนดาวดวงอื่น ที่ชื่อว่า “จิคิว” ในอีกด้านของจักรวาล ซึ่งถูกรุกรานโดย จักรวรรดิ บั๊คนารัค ผู้ชั่วร้าย ทำให้ราขาของแต่ละอาณาจักร ได้รวมตัวกันเพื่อปกป้องดินแดนของตน เป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน จนกระทั่ง ราเคลส ฮัสตี้ ราชาแห่งชูก๊อดด้อม ที่แข่งแกร่งที่สุดในหมู่ห้าอาณาจักร หมายจะรวบอำนาจขึ้นเป็นใหญ่เหนืออาณาจักรอื่นๆ เสียเอง แต่กลับมีชายหนุ่มชื่อ กีระ ที่ประกาศตนเป็นจอมราชาแห่งความชั่วร้ายเข้ามาขัดขวาง

เนื้อเรื่องเปิดตัวมาเหมือนหนังแฟนตาซีมากกว่าจะเป็นเซ็นไต ด้วยเซ็ตติ้งธีมแมลงและเรื่องราวของ 5 อาณาจักรที่มีความแตกต่างกันแบบสุดขั้ว ทำให้นี่เป็นเซ็นไตเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทำบนจอ LED ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของโตเอะแทบจะทั้งเรื่อง (TOEI VIRTUAL PRODUCTION เป็นโรงถ่ายใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี In Camera VFX มูลค่ากว่าสองพันล้านเยน) ที่สามารถสร้างสรรค์ 5 อาณาจักรของจิคิวออกมาได้ดูแปลกตา และน่าสนใจแบบที่ไม่เคยเห็นในหนังเซ็นไตเรื่องอื่นมาก่อน

แต่จุดที่ทำให้คนสนใจเรื่องนี้จริงๆ คงเป็นพล็อตเรื่องนี่แหละครับ ด้วยโครงเรื่องที่แหกขนบเซ็นไตแล้ว ตัวพล็อตเองก็มีการพลิกผันกันตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างราเคลสกับกีระ ที่ซับซ้อนไปจนถึงตอนจบ ความสัมพันธ์ระหว่างห้าราชาที่มีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นแตกต่างกันแบบสุดขั้ว ทั้งในด้านคุณธรรมและความคิด อุดมการณ์ แต่ก็ล้วนทำเพื่ออาณาจักร เพื่อประชาชนของตน รวมถึงศัตรูที่แท้จริงที่กว่าจะปรากฎตัว ก็ต้องรอถึงกลางเรื่อง และเป็นครั้งแรกเลยมั้ง ที่ผมรู้สึกว่า บอสใหญ่ของเซ็นไตรอบนี้ มันเก่งแบบที่ว่า ถ้าเปรียบกับฮีโร่มาร์เวลก็เรียกได้ว่าระดับคอสมิค เก่งจนนึกไม่ออกว่า พวกพระเอกจะเอาชนะได้ยังไงเลยจริงๆ

สำหรับผม นี่จึงเป็นเซ็นไตเรื่องแรกในรอบ 48 ปี ที่ผมรู้สึกว่า มันแตกต่างจากเซ็นไตที่เคยรู้จัก มันเต็มไปด้วยเรื่องราวนอกสูตรสำเร็จ ไม่ใช่เซ็นไตที่จะจบด้วยการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดขยายร่างแบบเรื่องอื่น แต่เป็นแฟนตาซีเซ็นไต ที่ขายความเป็นมนุษย์ จิตใจและอุดมการณ์ของเหล่าราชา ทำให้แทบทุกตอนในเรื่องเต็มไปด้วยดราม่าและไคลแม็กซ์ แถมยังคาดเดาอะไรไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบเลย

แต่ก็นั่นแหละครับ พล็อตแบบนี้ก็ใช่ว่าจะถูกใจทุกคน แม้กระแสตอบรับจะค่อนข้างดีในกลุ่มแฟนๆ แต่ก็อาจจะเข้าใจยากในหมู่เด็กๆ ที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริง และถึงแม้หุ่นในเรื่องจะออกแบบมาได้สุดยอด แต่ก็ไม่ได้มีฉากโชว์หุ่นให้เห็นทุกตอนเหมือนเรื่องอื่น ทำให้รายได้จากของเล่นเรื่องนี้ลดลงจากตอนดงบราเธอร์ (5,800 ล้านเยน เหลือ 5,400 ล้านเยน) ซึ่งทาง Bandai น่าจะไม่ปลื้มเท่าไหร่ (แต่ถ้านับในกลุ่มเซ็นไตยุคเรวะ ก็ถือว่าสูงอยู่นะ) พอเซ็นไตเรื่องต่อมาโตเอะก็เลยกลับมาทำตามขนบแบบเดิมๆ ที่น่าจะถูกใจเด็กมากกว่า

ไม่ว่าจะอย่างไร คิงโอเจอร์ก็กลายเป็นหนังขบวนการเซ็นไตที่ผมชอบและประทับใจที่สุดอีกเรื่องหนึ่งไปแล้ว เป็นเรื่องที่อยากจะชวนให้ใครที่เคยหมดใจกับเซ็นไต กลับมาดูหนังเซ็นไตกันอีกรอบ เพราะผมคิดว่า เราคงจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้จากโตเอะกันอีกสักพักใหญ่ๆ เลยล่ะ