[ดูจบแล้ว]มังกรหยก จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ (The Legends of the Condor Heroes: The Gallants)

หลังจากแคล้วคลาดไปหลายรอบ ในที่สุดผมก็ได้ดู มังกรหยก จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ทันก่อนที่หนังจะออกโรงพอดี ซึ่งวันที่ผมไปดูนี่ก็เริ่มหารอบดูยากแล้ว แต่ในโรงก็ยังมีคนดูอยู่สิบกว่าคน แถมอายุก็น่าจะราว 40-60 กันหมด มีผมนี่แหละที่น่าจะอายุน้อยสุดในโรงแล้ว (จริงนะ)

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนรอดูมังกรหยกในโรงภาพยนตร์กันมานานมาก เพราะที่ผมทันดูนี่ก็ทำออกมาออกทะเลไปคนละทาง ไม่ว่าจะเป็นหนังฮาอย่างมังกรหยก หยกก๊าหว่า ที่ออกมาตลกโบ๊ะบ๊ะมาก (แต่ผมชอบนะ มีแผ่นเก็บไว้ดูซ้ำด้วย) หรือ Ash of Time มังกรหยก ศึกอภิมหายุทธ ของหว่องคาไว ที่ตอนที่ผมไปดู ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังหว่องคาไวมันเป็นยังไง เป็นหนังที่ดูครั้งแรกตอนวัยรุ่นแล้วไม่ชอบเลย แต่หลังๆ เอากลับมาดูซ้ำแล้วชอบแฮะ ก็สมกับเป็นหนังหว่องแหละ มีอะไรให้คิดเยอะดี

ส่วนมังกรหยก 2025 เป็นการรวมเอาสุดยอดดาราอย่างเซียวจ้าน ที่ผมตามผลงานมาตั้งแต่ ปรมาจารย์ลัทธิมาร กับ ฉีเคอะ ผู้กำกับที่กิมย้งไม่ยอมให้แตะต้องงานของเขาหลังจากดัดแปลงบทตงฟางปุ๊ป้ายในเดชคัมภีร์เทวดาจนกิมย้งไม่ปลื้ม แต่พอกิมย้งไม่อยู่ ฉีเคอะก็เลยได้กำกับมังหยกสมใจอยากเสียที และก็ตามคาด ฉีเคอะตีความมังกรหยกในมุมมองของเขาใหม่ จากนิยายกำลังภายใน กลายเป็นหนังสงครามมองโกล-ฮั่น-กิมแบบ LOTR ผสมหนังฮีโร่มาร์เวล โดยปู่ฉีเคอะแกทำให้อาวเอี้ยงฮงกลายเป็นแมกนีโต้ถล่มทัพมองโกลกันเลยทีเดียว ซึ่งตอนดูในหนังมันก็ตื่นตาตื่นใจดีนะ เด็กๆ รุ่นใหม่น่าจะดูได้สนุกแหละ แต่สำหรับคนที่อ่านงานกิมย้งมาก่อนคงรู้สึกแปลกใจกับทิศทางของหนังพอสมควร ว่าจะไปทางกำลังภายใน หรืออเวนเจอร์ดี

ซึ่งจริงๆ ก็เข้าใจได้นะ ว่าการเอามังกรหยกมาทำหนังมันยากมาก ถ้าจะทำได้ก็คือต้องเอาเนื้อหาบางช่วงมาทำ (แบบสามก๊กศึกผาแดง) ซึ่งฉีเคอะก็ยกเอาเนื้อเรื่องช่วงท้าย ช่วงศึกมองโกลมาทำนั่นแหละ แล้วเล่าเนื้อหาช่วงแรกแบบคร่าวๆ ผสม flash back ไปมา และตัดตัวละครสำคัญที่ไม่เกี่ยวข้องกับหนังทิ้งหมด เช่นเรื่องราวของเอี้ยคังกับตระกูลเอี้ยที่น่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ไปจนถึงอาวเอี๊ยงเคี๊ยงที่เป็นตัวจุดชนวนความแค้นของก๊วยเจ๋งกับอาวเอี้ยงฮงก็หายไปเลย ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกว่า หนังดูสนุก และเข้าใจง่าย ไม่มีอะไรต้องโฟกัสเยอะ แต่ขาดความลึกและซับซ้อนในแบบฉบับนิยายกำลังภายในของกิมย้งไป

และสิ่งที่ฉีเคอะดัดแปลงเนื้อหาไปมากที่สุด ก็น่าจะเป็นบทบาทขององค์หญิงหัวเจิง (วาเจน) ที่ฉีเคอะเพิ่มบทบาทให้นางเยอะมากจนดูราวกับเป็นนางเอกอีกคนของเรื่องนี้ ราวกับต้องการแก้กรรมให้กับนางที่ในต้นฉบับหัวเจิงรักก๊วยเจ๋งมาก รักจนอดสงสารนางที่โดนก๊วยเจ๋งทิ้งไม่ได้ แต่ในภาคนี้หัวเจิงกลายเป็นสาวแกร่งที่เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ และแข็งแกร่งพอที่จะอยู่ตามลำพังโดยไม่มีก๊วยเจ๋งได้ แถมยังไปกันได้ดีกับอึ้งย้งอีก ซึ่งผมว่าน่าจะถูกใจแฟนๆ รุ่นใหม่นะ

ส่วนบทบาทของเซียวจ้านในฐานะก๊วยเจ๋ง พอได้ดูแล้วก็ยอมรับว่า เซียวจ้านเล่นดีนะ และหนังก็ฉลาดที่ไม่เล่าเรื่องราวของก๊วยเจ๋งในวัยเยาว์สมัยยังทึ่มและซื่อมากนัก แต่ข้ามมาในช่วงที่ก๊วยเจ๋งมีประสบการณ์ในยุทธภพมากพอที่จะต้องตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่างได้ ซึ่งเซียวจ้านถ่ายทอดความเป็นก๊วยเจ๋งที่แข็งแกร่งในฐานะวีรบุรุษผู้รักชาติได้ดีครับ ดีกว่าที่ผมคิดไว้มากทีเดียว

ซึ่งโดยภาพรวม แม้จะมีส่วนที่ขาดๆ เกินๆ อยู่พอควร แต่ผมชอบหนังเรื่องนี้นะ มันเหมือนหนังที่ทำมาโดยมีเป้าหมายเป็นแฟนมังกรหยกรุ่นใหญ่ ไปพร้อมกับแฟนๆ รุ่นใหม่ ซึ่งจริงๆ มันยาก แต่ผมว่าฉีเคอะก็ทำได้ตามเป้าหมายระดับหนึ่งนะ และที่สำคัญ มันดูสนุก ถ้าเรื่องนี้ลงสตรีมมิ่งเมื่อไหร่ก็คงได้ดูซ้ำอีกรอบแหละ