[REVIEW] โปเกมอน เดอะมูฟวี่ : เรื่องราวแห่งผองเรา

ปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่มีอนิเมให้เราได้ชมกันในโรงภาพยนตร์กันเยอะมากนะครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ใครจัดโปรแกรมให้โดราเอม่อนมูฟวี่กับโปเกม่อนมูฟวี่เข้าฉายวันเดียวกันเนี่ย..แถมรอบสื่อก็วันเดียวกันอีก ซึ่งตัวผมรับปากกับทีมโปเกม่อนไปก่อนแล้วก็เลยตัดสินใจมาดูโปเกม่อนกันก่อน ส่วนโดราเอม่อนคงไปดูรอบปกติ (ถ้ามีเวลานะ) ซึ่งโปเกม่อนภาคนี้ก็เป็นอีกภาคที่ผมอยากดูมากตั้งแต่เปิดตัวเลยครับ เพราะเป็นอีกไทม์ไลน์หนึ่งที่แยกออกจากภาคทีวีไม่เกี่ยวกับภาค SUN&MOON ที่กำลังฉายอยู่..ที่สำคัญ ภาพมันสวยผิดหูผิดตาจากทีวีซีรี่ส์จริงๆ แค่เห็นตัวอย่างก็เคลิ้มแล้ว โดยเฉพาะตรงที่ซาโตชิหน้าไม่เอ๋อนี่แหละ

 โปเกมอน เดอะมูฟวี่ : เรื่องราวแห่งผองเรา เป็นโปเกม่อนจอเงินภาคที่ 21 ซึ่งภาคนี้ดูแลการผลิตโดย OLM และ Wit Studio โดยเนื้อหาของภาคนี่จะไม่ใช่ภาคแยกจากทีวีซีรี่ส์เหมือน 19 ภาคก่อนหน้า (เพราะนอกจากซาโตชิกับแก๊งร็อคเก็ตแล้ว ก็แทบไม่มีตัวละครเก่าจากภาคทีวีซีรี่ส์โผล่มาให้เห็นเลย..ถ้าไม่นับคุณจอยนะ) แต่จะเป็นเนื้อเรื่องที่เป็นเอกเทศต่อจากโปเกม่อนจอเงินภาคที่ 20 (ฉันเลือกนาย) ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องราวบทต่อมา แต่คนที่ไม่เคยดู โปเกมอน เดอะมูฟวี่ : ฉันเลือกนาย มาก่อน ก็สามารถดูภาคนี้ได้สนุกและเข้าใจเนื้อหาได้ไม่ยากนักนะครับ

สำหรับเหตุการณ์ในภาคนี้จะเกิดขึ้นที่เมืองฟุระซึ่งที่เมืองนี้จะมีการจัดงานเทศกาลแห่งสา่ยลมขึ้นทุกปี เพราะเมืองนี้พัฒนาขึ้นมาโดยอาศัยพลังงานลมที่มีความเกี่ยวข้องกับลูเกียที่เปรียบเสมือนเทพพิทักษ์ประจำเมือง ซึ่งลูเกียจะปรากฎตัวขึ้นในงานเทศกาลแห่งสายลมเป็นประจำทุกปีด้วย แต่ปีนี้กลับมีเหตุวุ่นวายขึ้นมา เมื่อแก็งร็อคเก็ตเข้ามาป่วนงานเทศกาล มีคนพยายามขัดขวางการจัดงาน และยังมีเรื่องราวอันเป็นปริศนาของโปเกม่อนหายากอย่างเซราโอร่าอีกด้วย

จุดเด่นที่น่าสนใจของภาคนี้ก็คือ ภาคนี้จะไม่เน้นไปที่เรื่องราวการต่อสู้สุดอลังการเหมือนหนังโรงภาคอื่นๆ แต่จะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโปเกม่อน ซึ่งมีคีย์เวิร์ดคือคำว่า โปเกม่อนพาวเวอร์ ที่ทั้งมนุษย์และโปเกม่อนจะต้องรวมพลังกันเพื่อปกป้องเมืองจากหายนะ ภาคนี้จึงไม่มีตัวร้ายที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน จะมีก็แต่พวกแก็งร็อคเก็ตที่มีบทบาทไม่มากนัก (แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องจุดหนึ่ง) กับพวกโปเกม่อนฮันเตอร์ที่ดูเหมือนอันธพาลหางแถวมาก ใครที่มาชมเพราะอยากเห็นฉากโปเกม่อนสู้กันแบบฟ้าถล่มดินทลายอาจจะผิดหวังในจุดนี้ได้

แต่อย่างที่บอกแหละครับว่า หนังโรงโปเกม่อนภาคนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโปเกม่อน ซึ่งตัวละครใหม่ที่เป็นตัวเด่นในภาคนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 5 ตัว ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีปมในเรื่องที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ริสะ นักวิ่งสาวที่มาที่เมิองแห่งนี้เพราะน้องชายแม้เจ้าตัวจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโปเกม่อนเลย คากาจิ ตาลุงขี้โม้ที่ชอบโกหกแต่ก็เพราะอยากให้หลานสาวดีใจ โทริโตะ นักวิจัยโปเกม่อนที่มีจุดอ่อนเรื่องการเข้าหาผู้อื่น ฮิซุย หญิงชราผู้เกลียดโปเกม่อนเพราะปมในอดีต และ ลาร์โก ลูกสาวนายกเทศมนตรีที่ปิดบังความจริงบางอย่าง ไปจนถึงตัวรองอย่างพ่อของลาร์โก้ (นายกเทศมนตรี) ที่ปิดบังความจริงเรื่องโปเกม่อนเอาไว้

แม้ว่าจะมีตัวละครใหม่ๆ มากมาย แต่การกระจายบทบาทถือได้ว่าดี ตัวละครทั้งหมดสามารถก้าวข้ามปมในใจของตน ผ่านความผูกพันระหว่างมนุษย์และโปเกม่อน ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นธีมหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ลดทอนความสำคัญของฉากต่อสู้ลง แต่เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และโปเกม่อนมากขึ้น เหมือนกับชื่อตอน “เรื่องราวของผองเรา” อันหมายถึงเหล่าผู้คนที่มารวมกัน และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันโดยมีโปเกม่อนเป็นแรงผลักดัน ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเจตนารมณ์ของผู้สร้างเกมนี้ด้วย

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ โปเกม่อนที่ปรากฎตัวในเกมนี้เกือบทั้งหมดจะเป็นโปเกม่อนใน Gen แรกๆ ส่วนใหญ่น่าจะมาจาก Gen 1-3 จะมีก็แต่เพียงเซราโอร่าที่มาจาก Gen 7 (Ultra Sun and Ultra Moon) ทำให้ผมคิดว่าไทม์ไลน์ของภาคนี้ที่แยกออกจากทีวีซีรี่ส์ปกติ น่าจะพยายามอิงเข้ากับโปเกม่อนในเกม Pokémon Go (ที่ปัจจุบันออกมาถึง Gen 3) และการชูอีวุยให้มีบทเด่นเคียงคู่กับพิคาชูในภาคนี้ ก็ทำให้ผมนึกถึง Pokémon Let ‘s Go (ซึ่งเป็นภาคพิคาชูและอีวุย) ขึ้นมาเหมือนกัน แต่ตรงนี้ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้นะ

โดยภาพรวมแล้ว  โปเกมอน เดอะมูฟวี่ : เรื่องราวแห่งผองเรา เป็นโปเกม่อนมูฟวี่ในอีกไทม์ไลน์หนึ่ง ที่ให้อารมณ์และบรรยากาศที่แตกต่างไปจากภาคซีรีส์ งานภาพก็จัดได้ว่าสวยมาก สวยกว่า Sun & Moon ระดับหนึ่ง (แต่พูดจากใจจริง ในเทรลเลอร์ซาโตชิดูสาวและสวยกว่าในหนังมาก และฉากที่ปรากฎในเทรลเลอร์ก็ดันไม่มีในหนัง แถมยังมีฉากแอบเผางานหลุดให้เห็นแวบๆ ด้วย!) ส่วนเนื้อเรื่อง แม้จะไม่อลังการ แต่ก็ดูสนุกและอบอุ่น เป็นหนังครอบครัวที่ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่  โดยไม่ต้องปูพื้นฐานอะไรมากมาย (เพราะแทบไม่ได้อิงอะไรมาจากทีวีซีรี่ส์เลย)

ดังนั้น ถ้าชอบโปเกม่อนล่ะก็ อยากให้ไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงกันนะครับ การฉายโปเกม่อนในโรงแบบนี้ บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยถ้าแฟนๆ เรื่องนี้ไม่สนใจที่จะไปดูกัน และถึงแม้จะฉายเฉพาะเครือ SF แต่ดูจากจำนวนโรง ผมก็ว่าน่าจะครอบคลุมอยู่พอสมควร แต่ถ้าสัปดาห์แรกคนออกจากบ้านไปดูกันน้อย ก็คงถูกถอดจากโรงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ปิดเทอมนี้ ไปดูหนังกันเถอะครับ!