[NETFLIX] HI SCORE GIRL

ปีใหม่ปีนี้น่าจะเป็นปีใหม่แรกๆ ในรอบสิบกว่าปีที่ผมสมัครใจอยู่ กทม. ไม่ออกไปไหน หลังจากที่สิ้นปีก่อนผมขับรถไปต่างจังหวัดแล้วโดนรถปิกอัพเสยท้ายตอนจอดติดไฟแดง หลายๆ คนก็เลยไม่อยากให้ผมไปไหนมาไหนช่วงเทศกาลอีก เพราะนอกจากจะเหนื่อยรถติดแล้ว ยังเสี่ยงอุบัติเหตุ และอู่ซ่อมรถก็ปิดปีใหม่ กว่าจะได้คิวซ่อมนี่รอเป็นเดือนเลยครับ ปีนี้ก็เลยสมัครใจเข้าร่วมโครงการอยู่บ้านนอนดู Netflix โดยที่ Netflix ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาให้ผมสักบาท แถมช่วงนี้รู้สึก Netflix เริ่มโหมมาลงอนิเมดีๆ เยอะขึ้นด้วย เรียกได้ว่ามีอะไรให้ดูกันยาวๆ ไปจนถึงปีใหม่เลยครับ

สำหรับเรื่อง HI SCORE GIRL (ชื่อไทย เซียนสาวกำราบเกมรัก) นี้ก็เป็นอนิเมที่ฉายที่ญี่ปุ่นไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ Netflix เพิ่งเอามาลงให้ดูกันแบบรวดเดียวจบ ซึ่งก็ถือว่าเร็วดีครับ แต่ก็ยอมรับนะครับว่าตอนที่ฉายญี่ปุ่นใหม่ๆ ผมไม่สนใจจะดูอนิเมเรื่องนี้เลย เพราะโดยส่วนตัวผมไม่ชอบงานอนิเมแบบ 2.5 D (งาน 3D ที่เรนเดอร์ให้เป็นเหมือน 2D) และลายเส้นของเรื่องก็ไม่ค่อยโดนมากนัก ตัวคอมมิคก็ไม่ได้อ่าน รู้แต่ว่าคอมมิคเรื่องนี้มีดราม่าที่โดน SNK ฟ้องลิขสิทธิ์จนต้องระงับการตีพิมพ์ไปช่วงหนึ่ง (เห็นว่าหนักถึงขั้นตำรวจบุกค้นสำนักพิมพ์กันเลยทีเดียว) และโปรเจคอนิเมที่ประกาศมาตั้งแต่ปี 2013 ก็โดนแขวนยาว กว่าจะได้สร้างก็มาปี 2018 เลยครับ แต่เห็นว่าสุดท้ายเรื่องฟ้องร้องก็จบกันได้ด้วยดีนะ..(ก็แหงสิ ถ้าไม่จบด้วยดีจะได้สร้างอนิเมออกมาไหมล่ะ)

HI SCORE GIRL เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอกสองคน คือ ยากุจิ ฮารุโอะ เด็กชั้นประถมที่ชอบเล่นเกม โดยเฉพาะเกมตู้สตรีทไฟเตอร์ 2 ที่เขาใช้ตัวไกล์ (Guile) จนคล่อง สร้างสถิติชนะรวดในร้านเกม แต่กลับมาแพ้ โอโนะ อากิระ เด็กผู้หญิงจากโรงเรียนเดียวกันที่ใช้ตัวแซนกีฟ (ซึ่งจริงๆ ใช้ยากมาก) โอโนะนั้นเล่นเกมเก่งมากโดยเฉพาะเกมไฟติ้งขัดกับบุคลิกที่เป็นลูกคุณหนูที่แสนเรียบร้อยและเรียนเก่งแถมพูดน้อยอีก แต่แล้ววันหนึ่ง ฮารุโอะก็ได้รู้ความจริงว่า การที่โอโนะชอบหนีออกมาเล่นเกมตามร้านนั้น ก็เพราะที่บ้านของเธอออกกฏห้ามโน่นห้ามนี่และบังคับให้โอโนะเรียนพิเศษอย่างเดียวจนแทบจะไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตแบบเด็กปกติ เพื่อนก็ไม่ค่อยมี ทั้งสองจึงเริ่มความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนและคู่แข่งที่เข้าใจในกันและกันแบบแปลกๆ แต่สุดท้ายความสัมพันธ์นั้นก็ต้องหยุดชะงักเพราะโอโนะถูกที่บ้านส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ ก่อนที่จะเรียนจบชั้นประถมด้วยซ้ำ

แม้ไม่มีโอโนะ แต่ยากุจิก็ยังคงชอบเล่นเกมแบบไม่สนใจอะไร และสนุกสนานกับการได้เห็นพัฒนาการของวงการเกมที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว แต่ลึกๆ เขาก็ยังคงโหยหาที่จะได้ “แก้มือ” กับโอโนะอยู่ พอเข้าชั้นมัธยม ยากุจิก็ได้รู้จักกับ ฮิดากะ โคฮารุ ลูกสาวร้านเหล้าที่ไม่เคยสนใจเรื่องเกม แต่พ่อของเธอกลับเอาตู้เกมอาร์เคดมาตั้งให้เด็กเล่นหน้าร้าน และทำให้เธอได้พบกับยากุจิ ที่ไม่เคยสนอะไรเลยนอกจากเรื่องเกม แต่นั่นกลับทำให้เธอเริ่มประทับใจในตัวยากุจิและรับรู้ว่าการจะทำให้ยากุจิหันมามองเธอได้ นั้นเธอก็ต้องหันมาสนใจเรื่องเกมด้วย ซึ่งนั่นทำให้เธอเริ่มต้นเล่นเกมอย่างจริงจัง และความสัมพันธ์นั้นก็ดูเหมือนจะไปได้ด้วยดีอยู่หรอกนะ ถ้าอยู่ๆ โอโนะไม่กลับมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง และทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสามยุ่งเหยิง

จุดที่น่าสนใจของเรื่องก็คือ เหตุการณ์เล่าเรื่องในช่วงปลายยุค 80 ถึงตอนต้นของยุค 90 ตั้งแต่ตัวเอกของเรื่องเรียนชั้นประถมมาจนถึง ม.ปลาย ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนของวงการวิดีโอเกมตั้งแต่เกมอาร์เคดมาถึงเกมคอนโซล 8 บิท (รู้จักเครื่อง PC-ENGINE กันไหมครับ) ไล่มาจนถึงเพลย์สเตชั่น ไปจนถึงการเข้ามาของตู้ถ่ายสติกเกอร์ โดยมีแกนกลางคือความสัมพันธ์ระหว่างยากุจิ โอโนะและเกมสตรีทไฟเตอร์ 2 ที่สร้างมาหลายเวอร์ชั่นโดยไม่ยอมข้ามไปภาค 3 สักที(ในยุคนั้นนะ) ซึ่งเนื้อเรื่องสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของเหล่าเกมเมอร์ยุค 90 ออกมาได้ดีมากจนคนที่เติบโตมาในยุคนั้นสามารถรู้สึกอินกับเนื้อเรื่องได้ง่าย แค่เปิดเรื่องมาเจอมาไคมุระ 1 นี่ผมก็รู้สึกน้ำตาไหลแล้ว (มาไคมุระเป็นเกมแฟมิค่อมเกมแรกในชีวิตของผมครับ) และยังมีเกมอื่นๆ ที่ผมคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็น บางเกมนี่ผมถือว่าเป็นเกมที่โลกลืมเลยด้วยซ้ำไป

ด้วยความสนุกของเนื้อเรื่อง ปมของตัวละครหลักทั้ง 3 ที่ต่างกันแบบสุดขั้วแต่กลับถูกดึงดูดเข้าหากัน ความ feel good ที่มีต่อวงการเกม มันทำให้ผมค่อยๆ ลืมความเป็นอนิเม 2.5 D แบบที่ผมไม่ชอบไปเลย และทำให้ผมนั่งดูอนิเมเรื่องนี้รวดเดียวจบ  12 ตอน ก่อนที่จะกรีดร้องว่า เนื้อหาอนิเมมันไม่จบนี่หว่า มันตัดกุดๆ ห้วนๆ ค้างๆ คาๆ เพื่อที่จะไปขาย OVA กันต่อ (3 ตอน ออกมีนาคม 2019) ซึ่งก็ไม่รู้ว่า Netflix จะเอามาให้ดูต่อหรือเปล่า (อนิเมหลายๆ เรื่องใน Netflix ก็มีไม่จบนะ) และอีกจุดที่ขัดใจอยู่บ้าง ก็ตรงบทแปลของ Netflix ที่ผมเดาว่า น่าจะมาจากบทภาษาอังกฤษ ซึ่งจริงๆ ก็แปลลื่นดีนะ ไม่ขัดอะไรหรอก แต่ประเด็นคือชื่อเกมหลายเกมที่เราคุ้นหูในเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นกลับถูกแปลเป็นชื่อภาษาอังกฤษ อย่างเกมแวมไพร์เป็นดาร์คสตอล์กเกอร์ หรือ กาโร่เด็นเซ็ทสึกลายเป็นเฟทัลฟูรี่เป็นต้น ซึ่งคนดูรุ่นหลังอาจจะไม่ขัดใจอะไร เพราะน่าจะชินกับชื่อภาษาอังกฤษกันแล้ว แต่วัยรุ่นยุค 90 ที่โตมากับการอ่านนิตยสารวีคลี่แฟมิค่อม(เช่นผม)หลายครั้งมันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน

สรุปแล้ว HI SCORE GIRL เป็นอนิเมของ J.C.Staff ที่ภาพไม่สวย (สำหรับผม ที่ไม่ถูกโฉลกกับงาน 2.5D) แต่เนื้อเรื่องโคตรดี โดยเฉพาะสำหรับวัยรุ่นยุค 90 ที่โตมากับวงการเกมในยุคที่ถือได้ว่าวิดีโอเกมรุ่งเรืองถึงขีดสุด พอได้ดูเรื่องนี้แล้ว มันรู้สึกดีจริงๆ เป็นอนิเมอีกเรื่องหนึ่งที่ดูรวดเดียวจนจบในช่วงหยุดยาวปีใหม่นี้เลยครับ

http://hi-score-girl.com/

https://www.netflix.com/th/title/80997338