[REVIEW] CAPTAIN MARVEL : นิคฟิวรี่เป็นคนตลก

ก่อนที่หนัง Captain Marvel จะเข้าฉาย ต้องยอมรับว่ากระแสของหนังเรื่องนี้มาแรงในหลายด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี

แน่นอนว่านี่เป็นหนังเรื่องสุดท้ายก่อนที่จะปิดฉาก Avengers : Endgame จึงเป็นหนังที่หลายๆ คนคาดหวังไว้เยอะมาก เพราะจะเป็นการอธิบายถึงความเป็นมาของ Captain Marvel ที่ว่ากันว่าจะเป็นไม้เด็ดในการจัดการธานอส ในขณะที่กระแสไม่พอใจก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตัว Brie Larson กับแนวคิดเฟมินิสม์จัดของเธอ จนเกิดกระแสโต้กับถึงขนาดทำให้เว็บมะเขือเน่าปั่นป่วนจนถึงตอนนี้เลย

แต่ถึงจะตัดประเด็นส่วนบุคคลทิ้งไป ก็ต้องยอมรับนะว่า Captain Marvel เป็นหนังที่มีปัญหาจริงๆ เอาล่ะ ต้องบอกก่อนว่า มันไม่ใช่หนังห่วยนะ มันเป็นหนังที่ดูสนุก และทำหน้าที่ในการส่งต่อเรื่องราวของ Captain Marvel ต่อไปยัง Avengers ได้ดีครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลายๆ คนคาดหวังว่าหนังมันจะออกมาดีกว่านี้

สำหรับเนื้อเรื่องนั้นก็จะกล่าวถึงความเป็นมาของ Captain Marvel ว่าเพราะอะไรเธอถึงไปอยู่กับพวกครี พลังของเธอมาจากไหน ทำไมเธอถึงมาเจอกับนิค ฟิวรี่ และสุดท้าย เธอหายไปไหนในช่วงธานอสบุกโลก ซึ่งตัวหนังอธิบายประเด็นเหล่านี้ไว้อย่างครบถ้วนครับ ถือว่าเป็นการส่งตัวเธอเข้าสู่จักรวาลมาร์เวลได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในภาพรวมกลับดูไม่ลงตัวนัก

จุดเด่นของเรื่องคือ การนำเสนอเรื่องราวของ Captain Marvel ในยุค 90 ซึ่งเราจะเห็นกิมมิคดักแก่มากมายปรากฎอยู่ในหนังเรื่องนี้ครับ ซึ่งผมคงไม่บอกว่ามีอะไรบ้างเพราะมันอาจจะสปอยล์มุกในเรื่องเกินไป แต่การนำเสนอเรื่องราวในยุค 90 ของหนังเรื่องนี้ ผมกลับรู้สึกว่า มันยังไม่สุด และไม่ไหลลื่นนักถ้าเทียบกับหนังแนวเดียวกันเรื่องอื่นๆ (ถ้าเร็วๆ นี้ก็ Bumblebee ที่เล่นประเด็น nostalgia ได้ดีกว่า แต่หนังไม่ทำเงินเพราะแฟนหนังอยากดูหนังบู๊ ไม่ใช่หนังครอบครัว) รวมถึงการแทรกประเด็นเรื่องเฟมินิสท์ออกมาอย่างตรงไปตรงมามากเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาดนะครับ ก็เธอเป็นถึงฮีโร่หญิงที่แกร่งที่สุดในจักรวาลหนังมาร์เวลนี่นา

แต่ในหนังก็ไม่ได้โชว์แต่ด้านแข็งๆ ห้าวๆ ของเธอนะครับ ด้านอ่อนโยนของเธอก็มี เพียงแต่ตัวหนังจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอธิบายว่า เพราะอะไรเธอถึงมีบุคลิกในแบบที่เราเห็น ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่า เธอเป็นคาแรกเตอร์ที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่เหมือนฮีโร่มาร์เวลคนอื่นที่ค่อนข้างมีปมในจิตใจที่ซับซ้อน (และมันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรารู้สึกว่า ฮีโร่ของมาร์เวลมีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างสูง) และผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เน้นไปที่การโชว์ด้านพละกำลัง กับอารมณ์ที่อ่อนไหวของเธอมากเกินไป แต่ตัวหนังกลับไม่ได้โชว์ให้เห็นถึงความฉลาดและไหวพริบของเธอออกมามากนัก ซึ่งมันทำให้หนังลดความสนุกลงไป กลายเป็นว่า เพราะเธอมีพลังมากกว่า เธอเลยชนะ…อะไรๆ มันก็เลยดูง่ายไปหมด


และสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นสีสันของหนังเรื่องนี้ก็คือ นิคฟิวรี่กับเจ้าเหมียวกูส ซึ่งในเรื่องนี้นิคฟิวรี่เป็นคนตลกครับ แถมยังรักแมวด้วย ซึ่งขัดกับบุคลิกของนิคฟิวรี่ที่เราคุ้นเคยกันดีในจักรวาลมาร์เวลเหลือเกิน จนอดสงสัยไม่ได้ว่า หลังจากเหตุการณ์ในเรื่องนี้ ฟิวรี่ไปทำอะไรมาถึงกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นไปได้ ส่วนเจ้าเหมียวกูสก็ถือเป็นจุดขายของหนังนะครับ บทไม่เยอะ แต่ขโมยซีนทุกช็อต แม้ผมจะข้องใจอยู่ว่า ทำไมหนังไม่อธิบายถึงความเป็นมาของเจ้าเหมียวกูสเลย ว่ามันมาอยู่ในเรื่องได้อย่างไร เหมือนอยู่ๆ มันก็โผล่มา แล้วก็ตามฟิวรี่ไปแบบไม่มีเหตุผลเลยนั่นแหละ

ซึ่งตัวหนังยังมีส่วนที่ไม่ลงตัวอีกหลายจุด ไม่รวมถึงฉากแอ๊คชั่นในเรื่องที่พยายามจะโชว์พลังของ Captain Marvel แต่หลายฉากดูแล้วมันไม่สื่อถึงความ “ทรงพลัง” ของซูเปอร์ฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดเลย (เอาง่ายๆ เทียบกับฉากธอร์ร่างสุดยอดใน Ragnarok ผมว่าฉากนั้นยังดูทรงพลังกว่าเยอะ แถมเพลงประกอบยังช่วยส่งเสริมกันด้วย) ซึ่งจริงๆ อาจเป็นเพราะผมคาดหวังไว้เยอะก็ได้นะ เพราะถ้าไม่คิดว่าเธอต้องไปสู้กับธานอสต่อล่ะก็ ผมว่ามันก็เป็นหนังฮีโร่ที่ให้ความบันเทิงได้ดี ดูสนุก แต่ไม่สุด และไม่รู้ว่า “ว้าว” เหมือนกับหนังฮีโร่มาร์เวลเรื่องอื่นเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ชอบนะ จำได้ว่ารอบที่ผมดูมีคนปรบมือให้ด้วย

ปล.ตัวหนังไม่ได้เชื่อมกับ Avengers Endgame โดยตรงนะครับ ที่เชื่อมจริง ๆ น่ะอยู่ท้ายเครดิต อย่าลุกออกจากโรงไปก่อนละกัน