[NETFLIX] The Wandering Earth

ไม่ต้องเดาก็คงรู้ว่า Avengers: Endgame คือภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของโลกปีนี้ แต่ที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็คือ หนังที่ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของปีนี้มากกว่า นั่นก็คือ The Wandering Earth หนังจีนที่ทำรายได้รวมไปเกือบ 7 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ แถมหนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังไซไฟที่ไม่ได้เข้าฉายโรงหนังในไทย แต่กลับมีให้ชมกันใน Netflix ในรูปแบบพากย์ไทยมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้วด้วย!

สำหรับเรื่องราวใน The Wandering Earth เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ในปี 2061 เมื่อจุดดำในดวงอาทิตย์ขยายใหญ่ ดวงอาทิตย์กำลังจะดับ มนุษยชาติเห็นว่า ขืนปล่อยไว้แบบนี้ โลกคงล่มสลายแน่ๆ ก็เลยคิดแผนการใหญ่ ติดไอพ่นให้กับโลกแล้วเคลื่อนย้ายโลกออกจากระบบสุริยะจักรวาล พเนจรไปหาระบบดาวใหม่ที่โลกสามารถดำรงอยู่ได้ ส่วนมนุษยชาติก็ต้องอพยพไปอยู่ใต้ดินจนกว่าแผนการย้ายโลกจะประสบผลสำเร็จ เพราะพื้นผิวโลกจะหนาวเหน็บเสียจนสิ่งมีชีวิตไม่อาจอาศัยอยู่ได้

ซึ่งการเดินทางอพยพครั้งนี้ จะต้องมีสถานีอวกาศนานาชาติเป็นยานนำร่องคอยลากโลกออกไป เหมือนกับเรือขนทรายบ้านเรานั่นแหละครับ โดยตัวเอกของเรื่องก็คือคุณพ่อนักบินอวกาศชาวจีนที่ต้องทิ้งลูกไปอยู่บนยานนำร่องถึง 17 ปี ปล่อยให้ลูกชายวัยเกรียนอยู่กับน้องสาวบุญธรรมและปู่ จนกระทั่งตัวเอกกำลังจะปลดประจำการเตรียมไปฉลองตรุษจีนกับครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันมานาน ก็เกิดเหตุที่โลกได้รับผลกระทบจากแรงดึงดูดของดาวพฤหัสจนทำให้ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะสองดวงเตรียมประสานงานกัน และเหล่าตัวเอกของเราก็ต้องหยุดยั้งหายนะนี้ ทั้งจากบนโลกและในอวกาศไปพร้อมๆ กัน

ทุนสร้างของ The Wandering Earth นั้นอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท (50 ล้านเหรียญ) แต่กลับทำรายได้ถึง 22,300 ล้านบาท (ราว 700 ล้านเหรียญ) ซึ่งถือว่าสูงมาก ทั้งที่ไม่ได้ฉายในหลายๆ ประเทศเหมือนหนังจากฝั่งฮอลลีวูดด้วยซ้ำ (รายได้เกือบทั้งหมด 98% มาจากการฉายในประเทศจีน) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการผลักดันของรัฐบาลจีนที่ต้องการจะส่งเสริมภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ ไซไฟพร้อมกับส่งเสริมความรักชาติไปในตัว ดังจะเห็นได้เลยว่านี่เป็นหนังกู้โลกที่มีตัวเอกเป็นคนจีน ชาตินิยมจีน(และประเทศฝั่งที่อยู่ข้างเดียวกับจีน) มีความเป็นวัฒนธรรมจีน หลักคำสอนของจีนแทรกอยู่เต็มไปหมด แถมมีการแอบแฝงหลอกด่าอเมริกาอยู่ในเรื่องหน่อยๆ ด้วย (ฺฺฮา)

จีนจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค 2044?

ซึ่งถ้าพูดกันตามตรง พล็อตประเภทอพยพมนุษย์สู่อวกาศก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างมาครอสซีรี่ส์เองก็ใช้ยานลากเมืองไปทั้งเมืองเพื่อออกเดินทางหาดาวที่มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้ แต่ในเรื่องนี้ใช่วิธีลากโลกทั้งใบให้นายคนเดียว ซึ่งแน่นอนว่า หนังวิทยาศาสตร์ไซไฟแบบนี้ การทำเทคนิค CG ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเสนองานแนว visual ที่อลังการ และก็ทำออกมาได้ดีด้วย แม้จะทำออกมาได้ไม่ถึง 100% คือยังมีฉากซีจีลอยๆ ให้เห็นอยู่ และพล็อตเรื่องบางช่วงก็ดูอืดๆ ไปบ้าง แถมลูกชายพระเอกบางทีก็ทำตัวน่ารำคาญไปนิด (เอาจริงๆ ความงอแงของครอบครัวพระเอกนี่จากจุดแข็งกลายเป็นจุดอ่อนของเรื่องเลยนะ)

แต่โดยภาพรวมนี่เป็นหนังไซไฟของจีนที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยดูมา มีความสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งถือการพิสูจน์ให้เห็นว่า วงการบันเทิงของจีนก็พร้อมที่จะริเริ่มแนวทางใหม่ๆ ออกจากกรอบความสำเร็จเดิมๆ ของตน และคนจีนเองก็พร้อมที่จะเปิดใจต้อนรับอะไรใหม่ๆ อยู่แล้วด้วย

แม้ตัวหนังอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ความบันเทิงได้ถึงขีดสุดแบบหนังกู้โลกสูตรฮอลลีวูด หากกระแสของหนังจีนทั้งในส่วนผู้ผลิตและผู้ชมยังเป็นแบบนี้ต่อไป เชื่อว่า อีกไม่นาน ยุคทองของหนังจีน อาจจะหวนกลับมาอีกรอบก็ได้ หลังจากที่ซบเซาไปเป็นสิบปี จะห่วงก็แต่หนังไทยนี่แหละ ที่เมื่อไหร่จะหลุดออกจากกรอบความสำเร็จเดิมๆ ได้เสียที…