กระแสของ Spider-Man: Far From Home นั้นคล้ายกับภาคก่อนหน้า (Spider-Man: Homecoming) ตรงที่ถ้าใครชอบมาก ก็จะชอบแบบสุดๆ แต่ถ้าไม่ชอบ ก็อาจจะรู้สึกเฉยๆ ไปจนถึงไม่ชอบเลยก็มี โดยเฉพาะภาคล่าสุดที่ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นหนังที่ต่อจาก Avengers: Endgame และเป็นหนังปิดจักรวาลมาร์เวลเฟส 3 โดยสมบูรณ์
(บอกไว้ก่อน จากบรรทัดนี้เป็นต้นไป จะมีสปอยล์เนื้อหาในเรื่องสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูนะครับ)
แต่สำหรับผม หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังปิดจักรวาลเฟส 3 หรอกครับ แต่มันเป็นเรื่องราวที่อธิบายว่า โลกหลังจากเหตุการณ์ใน Avengers: Endgame นั้นเป็นเช่นไร และผู้คนรู้สึกอย่างไรในโลกที่ไม่มีอเวนเจอร์…หรือเอาจริงๆ ก็คือ โลกที่ไม่มีไออ้อนแมน..เพราะกัปตันอเมริกาก็ยังมีผู้สืบทอดอยู่ แต่ใครจะสืบทอดไออ้อนแมนได้ล่ะ
แน่นอน หลายๆ คนจับจ้องมาที่สไปเดอร์แมน หรือปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ผู้ที่เป็นเหมือนเด็กเส้นของโทนี่สตาร์ค ถึงขนาดที่โทนี่มอบแว่นตาอัจฉริยะ EDITH (ย่อมาจาก Even Dead, I’m The Hero) ที่เชื่อมต่อกับระบบเทคโนโลยีของสตาร์คไว้ให้กับปีเตอร์ ส่วน SHIELD เอง ก็พยายามที่จะเข้าหาตัวปีเตอร์ แต่ปีเตอร์กลับปฏิเสธ และคิดว่าตัวเองเป็นแค่วัยรุ่นธรรมดา ที่มีพลังพิเศษ อยากมีชีวิตแบบวัยรุ่น ไปทริปโรงเรียน และมีแฟน
ซึ่งในภาคแรก เราจะเห็นว่าปีเตอร์นั้นอยากจะเป็นอเวนเจอร์มาก แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา รวมถึงหนังอเวนเจอร์ทั้งสองภาค กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวคิดว่าตนนั้นไม่พร้อมที่จะแบกรับความคาดหวังนั้นเอาไว้ โดยเฉพาะเมื่อมีฮีโร่คนใหม่อย่างมิสเทริโอ้ปรากฎตัวขึ้น เขาก็คิดว่า นั่นแหละ คือคนที่เหมาะสมล่ะ เขาพร้อมที่จะยกตำแหน่งฮีโร่ของโลกนี้ไปให้มิสเทริโอ้อย่างง่ายๆ และกลับไปใช้ชีวิตในแบบฮีโร่ประจำเมืองที่เป็นเพื่อนบ้านที่แสนดีดังเดิม
ซึ่งตรงนี้ หลายๆ คนรู้สึกว่า มันไม่ค่อยดูสมเหตุสมผล แต่นั่นคือความคิดของเด็กวัยรุ่นอายุแค่ 16 ปี ที่เพิ่งพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้เลือกหนทางที่ผิดพลาดไป เขาจึงต้องจัดการแก้ไขทุกอย่างก่อนที่จะสายเกินแก้ แม้ว่ามันจะนำพาความยุ่งยากมาสู่เขาในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้
สำหรับมิสเทริโอ้ ถ้าใครที่ไม่ได้อ่านคอมมิคมาก่อน อาจจะรู้สึกแปลกใจกับตัวตนที่แท้จริงของชายคนนี้ ซึ่งทำให้นักวิจารณ์หลายคนหวนไปคิดถึงแมนดารินในไออ้อนแมน 3 แต่ถ้าใครตามเรื่องราวของมิสเทริโอ้มาก่อน บทบาทของเขาก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดความคาดหมาย เพราะมิสเทริโอ้นั้นถือได้ว่าเป็นจอมลวงหลอกที่สร้างความปั่นป่วนวิบัติให้จักรวาลคอมมิคมาร์เวลมาหลายครั้ง แต่ที่ผมว่ามันเจ๋งก็คือ การผูกเรื่องราวของมิสเทริโอ้ให้เชื่อมต่อกับเรื่องราวของโทนี่ สตาร์ค มันทำให้เรารู้ว่า เบื้องหลังของโทนี่นั้น ยังมีคนอีกมากมายที่เคยทำงานกับเขา และเกลียดชังเขา และพร้อมที่จะทำลายเขาได้ทุกเมื่อแม้กระทั่งตอนที่โทนี่จากไปแล้ว
การตัดสินใจของโทนี่ที่มอบ EDITH ให้กับปีเตอร์ จึงไม่ใช่เรื่องผิดพลาด เขาได้พยายามแก้ไขความผิดพลาดที่ตัวเองก่อขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ไออ้อนแมนคนต่อไป และไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย ซึ่งแฮปปี้โฮแกนซึ่งเป็นคนที่โทนี่ไว้ใจที่สุดก็คิดเช่นนั้น แต่เขาก็มองเห็นว่า ทั้งโทนี่ และ ปีเตอร์ นั้นมีอะไรที่คล้ายกันอยู่ ซึ่งบทสนทนาระหว่างแฮปปี้และปีเตอร์บนเครื่องบินเจ็ทสื่อถึงความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดี (เป็นซีนที่ผมชอบมากซีนหนึ่งในเรื่อง)
นอกเหนือจากส่วนนี้ ก็เป็นส่วนเรื่องราวความรักวัยรุ่นในรั้วโรงเรียน ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ทำได้ดี แม้จะมีจุดแปลกๆ บางจุดเช่นความสัมพันธ์ระหว่างเน็ดกับเบ็ตตี้ที่มาเร็วเคลมเร็วเกินไป ส่วนเรื่องของเอ็มเจถ้าไม่ยึดติดกับเอ็มเจในฉบับคอมมิคก็ถือว่าเคมีเข้ากันได้ดีกับปีเตอร์(ทอม ฮอลแลนด์)มาก
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้มีจุดที่น่าสนใจก็คือ การที่เราโดนหลอกมาตั้งแต่หนังตัวอย่าง ที่มิสเทริโอไม่ได้มาจากจักรวาลอื่นอย่างที่เราคิดแต่กลับเป็นอดีตลูกน้องโทนี่ ไปจนถึงฉากหลัง End Credit ทั้งสองส่วนที่ฮือฮากันยิ่งกว่าตัวหนังทั้งเรื่องอีก เพราะจุดแรกเป็นการส่งไม้ต่อถึงหนังสไปเดอร์แมนภาคต่อไปว่าจะทำให้ปีเตอร์ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนที่ตาทอมเคยโพสต์เล่นๆ ว่าอาจเป็นภาค Homeless หรือเปล่า (ตอนแรกผมนึกว่าแกโพสต์ขำๆ นะ แต่ตอนนี้เริ่มเห็นเค้าลางเป็นไปได้แล้ว) กับอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เราต้องมานั่งปวดหัวกันต่อว่า ตกลง นิค ฟิวรี่ ที่เราเห็นมานี่ คนไหนตัวจริงตัวปลอม? และเราโดนหลอกตั้งแต่ตอนไหน
ที่แน่นอนก็คือ Spider-Man: Far From Home สำหรับผมไม่ใช่หนังปิดฉากอเวนเจอร์ แต่เป็นหนังที่ทำมาเพื่อไว้อาลัยแด่ ไออ้อนแมน (โทนี่สตาร์ค) และการเริ่มต้นที่จะเดินเข้าสู่จักรวาล MCU ที่ไม่มี สแตน ลี ยังคงมีเรื่องตื่นเต้นให้เราคาดไม่ถึงอีกมากมาย และตอนนี้ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็คงรอการเปิดตัว MCU เฟส 4 อย่างใจจดใจจ่อกันแล้ว