ในยุค 90 ซึ่งถือเป็นยุคทองของการ์ตูนค่ายโชเน็นจัมป์ เป็นยุคที่นิตยสารเล่มนี้สามารถทำยอดขายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ และอุดมไปด้วยการ์ตูนดังมากมาย ซึ่งหนึ่งในการ์ตูนที่ถือได้ว่าประสบคามสำเร็จอย่างสูงมากในยุคนั้น ก็คือ ซามูไรพเนจร ผลงานของ อ.โนบุฮิโระ วาสึกิ ในช่วงปี 1994-1999 ที่ทำยอดขายรวมเล่มไปกว่า 70 ล้านเล่ม
ซึ่งถึงแม้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้จะจบชุดไปนานกว่า 20 ปีแล้ว แต่พอมีการนำเอา “ซามูไรพเนจร” มาสร้างเป็นหนังคนแสดงอีกครั้ง (2012-2014) ก็กลับทำให้กระแสของเรื่องนี้ฟื้นคืนขึ้นมา ตัวหนังไตรภาคทำรายได้รวมทั่วโลกไปกว่าสองหมื่นล้านเยน และกำลังจะมีภาค 4 ตามมาในเร็วๆ นี้อีก
ในขณะที่ อ.โนบุฮิโระเองก็เหมือนจะโดนคำสาปของจัมป์ ที่ไม่ว่าจะไปเขียนการ์ตูนเรื่องไหน ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่า”ซามูไรพเนจร” (แต่ผมก็ชอบเรื่อง นักรบเหล็กเทวะ นะ แม้จะไปไม่สุดก็เถอะ) และในเมื่อกระแสของเรื่องนี้กลับมา อ.โนบุฮิโระ ก็กลับมาสานต่อตำนานของเคนชินอีกครั้งในภาคฮอกไกโด ซึ่งตอนแรกผมนึกว่าจะเป็นแค่บทพิเศษไม่กี่ตอนจบเหมือนที่เคยเขียนตอนช่วงหนังโรงเข้าฉาย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะติดลมบนกลายเป็นซีรี่ส์ยาวไปแล้ว
เหตุการณ์ในภาคฮอกไกโด จะเกิดขึ้นในปีเมจิที่ 16 หรือหลังจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้วประมาณ 5 ปี ซึ่งตอนนี้ เคนชิน ก็มีลูกชายเล็กๆ กับ คาโอรุ ส่วนยาฮิโกะก็โตเป็นหนุ่ม เป็นอาจารย์รองแห่งสำนักคามิยะคัชชินริว และยังได้ได้รับสืบทอดดาบสลับคมต่อจากเคนชินด้วย ทว่าอยู่ๆ ก็มีเหตุให้พวกเคนชินต้องเดินทางออกจากโรงฝึกไปยังฮอกไกโด เนื่องจากไปพบรูปถ่ายที่บ่งชี้ว่า พ่อของคาโอรุ ที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ที่นั่น
ในอีกด้านหนึ่ง โรงฝึกคามิยะฯ ก็ได้รับศิษย์ใหม่เข้ามาสองคน คนหนึ่งคืออลัน เด็กหนุ่มลูกครึ่งต่างชาติที่เคยติดคุกข้อหาลักลอบออกนอกประเทศ และอีกคนหนึ่งก็คืออาชิทาโร่ เด็กหนุ่มผู้ครอบครองดาบมุเก็นจิน ดาบของชิชิโอ มาโคโตะ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ความรุ่งโรจน์แห่งกลุ่มกบฎที่เหล่าผู้เหลือรอดต่างต้องการที่จะครอบครอง
นอกจากนี้ ตัวะครเก่าๆ จากภาคก่อนๆ ก็จะค่อยๆ ปรากฎตัวเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ พอให้ได้หายคิดถึง ซึ่งเราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการออกแบบตัวละครของ อ.โนบุฮิโระนั้นมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ รวมถึงตัวเคนชินเอง แม้ในภาคนี้จะกลับมาใช้ดาบสลับคมอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเหมือนในอดีต เพราะบาดแผลจากการต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้ร่างกายของเคนชินเริ่มถึงขีดจำกัด ซึ่งมันทำให้เราเดาผลการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภาคนี้ไม่ได้เลยว่า จะจบลงในรูปแบบไหน
ซึ่งในมุมมองของผม ซามูไรพเนจร ภาคฮอกไกโด ถือเป็นหนึ่งในการ์ตูนภาคต่อที่ทำออกมาได้ดี ยังมีเรื่องราวที่น่าติดตามต่อ แม้ตอนแรกผมเกือบทำใจว่าจะไม่ได้อ่านภาคนี้แล้ว เพราะคนเขียนไปโดนคดีเข้า (เรื่องคดีที่ว่า ขอไม่รื้อฟื้นขึ้นมาอีกละกัน) แต่ในเมื่อ อ.โนบุฮิโระ สามารถกลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อได้ และฝีมือยังไม่ตกลงไปจากเดิมสักเท่าไหร่ นี่ก็เป็นผลงานที่น่าสนใจที่แฟนๆ การ์ตูนยุค 90 ไม่น่าพลาด (รวมถึงแฟนๆ รุ่นใหม่ๆ ด้วยนะ)