รุกะผจญภัยโลกใต้ทะเล : Children of the Sea เป็นอนิเมอีกเรื่องหนึ่งที่ได้มาฉายในโรงบ้านเราเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ผมไม่ได้ดูในโรง มาได้นั่งดูจริงๆ ก็ตอนที่ลง Netflix แล้วนี่แหละครับ และก็เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่า เราพลาดอะไรดีๆ ไปอีกแล้ว…
อนิเมเรื่อง Children of the Sea สร้างจากต้นฉบับหนังสือการ์ตูนของ Daisuke Igarashi นักเขียนการ์ตูนที่อาจจะไม่คุ้นชื่อมากนักสำหรับแฟนๆ ชาวไทย แต่ที่ญี่ปุ่นก็ถือได้ว่าดังพอสมควรทีเดียว มีแฟนๆ ติดตามผลงานอย่างเหนียวแน่น แถมผู้เขียนยังเคยคว้ารางวัลใหญ่ๆ อย่าง Japan Media Arts Festival มาแล้วด้วย ส่วนสตูดิโอที่สร้างอนิเมเรื่องนี้ก็คือ Studio 4°C ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในระดับสากล แล้วยังได้ Joe Hisaishi นักแต่งเพลงชื่อดังขาประจำหนังค่ายจิบลิมาทำเพลงให้อีก เรียกได้ว่าเป็นผลงานรวมเทพของวงการอีกเรื่องหนึ่งเลย
สำหรับเรื่องย่อก็มีอยู่ว่า รุกะ เด็กสาว ม.ต้นที่มักจะมีปัญหาในการเข้าสังคม (พูดง่ายๆ ไม่ค่อยมีเพื่อน) เธอจึงไปหลบพักใจอยู่ในอควอเรียมที่พ่อของเธอทำงานอยู่ จนได้พบกับ อุมิ และ โซระ สองพี่น้องปริศนาที่ถูกเลี้ยงโดยฝูงพะยูนในทะเลจนกระทั่งถูกมนุษย์พบเข้า หนุ่มน้อยอุมิถูกนำมาฝากไว้ที่อควอเรียม ในขณะที่โซระผู้เป็นพี่ชายนั้นร่างกายอ่อนแอกว่าเพราะยังปรับสภาพให้เข้ากับการอาศัยอยู่บนบกได้ไม่ดีนักจึงต้องอยู่ในโรงพยาบาล แต่ก็มักจะหนีออกมาบ่อยๆ
ในขณะเดียวกัน ทั่วโลกเกิดปรากฎการณ์ประหลาด อุกกาบาตลึกลับที่ตกลงมายังโลก และพฤติกรรมของสัตว์โลกใต้ทะเลที่เปลี่ยนแปลงไป วาฬส่งเสียงร้องระงม สัตว์น้ำคลั่ง เหล่าปลาใต้ทะเลลึกพาเหรดกันมาเกยตื้นริมหาด ทั้งหมดเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับ อุมิ และ โซระ รวมถึงมนุษย์ที่พยายามใช้ประโยชน์จากทั้งสอง ซึ่งรุกะนั้นต้องหาทางที่จะหยุดยั้งวิกฤติเหนือธรรมชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
เนื้อเรื่องในช่วงครึ่งแรกนั้นเหมือนจะเป็นการปูเนื้อเรื่องให้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ซึ่งเอาจริงๆ มันก็เนิบนาบจนน่าเบื่อ แต่ก็ชดเชยกับงานภาพสวยๆ ที่ดูแล้วเพลินตามาก ก่อนที่เนื้อหาจะพลิกกลับอย่างรุนแรงในช่วงครึ่งหลัง ที่ลากผู้ชมไปไกลถึงขั้นการก่อเกิดของสิ่งมีชีวิตหรือกำเนิดจักรวาลระดับเดียวกับอนิเมเอวานเกเลี่ยนตอนจบเลยครับ ชนิดที่ว่าเอาครึ่งหลังไปฉายต่อกับเอวานเกเลี่ยนแล้วอาจนึกว่าเป็นเรื่องเดียวกันด้วยซ้ำ
แม้เนื้อเรื่องอาจจะแฝงปรัชญาเหมือนดูยาก แต่ด้วยงาน visual ที่ทำออกมาได้ดีและสวยมาก บวกกับเพลงประกอบที่เข้ากันสุดๆ ทำให้ตัวอนิเมเรื่องนี้ดูได้ค่อนข้างเพลินตา ถึงแม้เนื้อเรื่องบางช่วงอาจจะดูงงๆ และอาจต้องมีความตีความกันหลายชั้นก็ตาม ซึ่งที่ญี่ปุ่นนั้นก็ทำเงินไปราวสองร้อยล้านเยน (น่าจะขาดทุน) กระแสวิจารณ์ก็ค่อนข้างดีไปทางบวกแต่ไม่ถึงกับดีมาก อาจเพราะตัวอนิเมมันไม่ได้ดูเข้าใจง่ายสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามีโอกาสก็แนะนำให้ลองดูครับ เสียดายที่ไม่ได้ดูในโรงเหมือนกัน เพราะงานภาพค่อนข้างสวย ถ้าดูในโรงน่าจะดูอลังการมากเลย