Urusei Yatsura ลามู ทรามวัยจากต่างดาว นั้น ถือได้ว่าเป็นผลงานแจ้งเกิดของ อ.ทาคาฮาชิ รูมิโกะ นักเขียนหญิงที่สร้างตำนานร้อยล้านเล่ม เขียนเรื่องไหนก็ดังทุกเรื่อง โดยตัวต้นฉบับของลามูฯ ถูกเขีียนขึ้นในช่วงปี 1978-1987 ลงในนิตยสารโชเน็นซันเดย์ และประสบความสำเร็จสูงในระดับปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนวงการการ์ตูนญี่ปุ่นในยุคนั้น ทำให้การ์ตูนแนวตลก เลิฟคอเมดี้ เริ่มเข้ามามีพื้นที่ในนิตยสารการ์ตูนวัยรุ่นสำหรับผู้ชายมากขึ้น
เรื่องราวเดิมทีนั้นเป็นเรื่องราวของอาตารุ หนุ่มอับโชคแต่เจ้าชู้ที่จะต้องไปพัวพันกับเรื่องราวประหลาดๆ และสาวๆ สุดพิสดารจากต่างดาว โดยตอนแรกอาตารุจะได้พบกับลามู ชาวเผ่ายักษ์จากต่างดาวผู้มีพลังไฟฟ้าช็อตที่จะมายึดครองโลกจนเกิดเป็นการวิ่งแข่งไล่จับที่มีโลกเป็นเดิมพัน ทว่าตัวละครลามูนั้นกลับได้รับความนิยมมาก จนทำให้ กอง บก.และผู้เขียนต้องนำลามูกลับมาใหม่และกลายเป็นตัวละครหลักที่อยู่ยาวจนจบเรื่อง ซึ่งชื่อไทยนั้นก็เลยตั้งตามชื่อลามูที่เป็นตัวละครหลักนั่นแหละครับ จำกันง่ายดี
ลามูฯ ถูกนำไปสร้างเป็นอนิเมครั้งแรกในปี 1981 โดยผู้กำกับ Mamoru Oshii (คนเดียวกับที่ทำ Ghost in the Shell นั่นแหละครับ) และก็กลายเป็นผลงานสร้างชื่อให้กับ Mamoru Oshii ที่สร้างโลกสุดจะวุ่นวายของลามูฯ ออกมาได้สนุก และน่าสนใจมากๆ พอเอาไปสร้างเป็นหนังโรง ก็ยิ่งดังเข้าไปอีก โดยเฉพาะ Urusei Yatsura 2: Beautiful Dreamer นั้นถือเป็นภาพยนตร์อนิเมอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับคำชมไปทั่วโลกจนกลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีชอีกเรื่องของผู้กำกับ Mamoru Oshii เลยล่ะครับ
พอลามูนำกลับมาทำอนิเมใหม่ในปี 2022 แค่คลิปโปรโมตสั้นๆ ก็เรียกเสียงฮือฮาได้ระดับล้านวิว และสตูดิโอที่รับผิดชอบลามูฯ เวอร์ชั่นนี้ก็คือ David Production ที่ประสบความสำเร็จจาก “หน่วยผจญคนไฟลุก” และ “JoJo’s Bizarre Adventure: The Animation” ที่ดังเสียจนได้สร้างต่อมาอีกหลายภาพ ซึ่งเนื้อเรื่องของตัวอนิเมก็ยึดตามต้นฉบับหนังสือการ์ตูนเลยครับ โดยมีการกำหนดเอาไว้ว่าจะผลิตทั้งหมด 46 ตอน โดยครึ่งแรกออกอากาศปี 2022 และครึ่งหลังจะออกอากาศต่อในปี 2024
จุดเด่นก็อย่างที่ผมบอก ก็คือในเวอร์ชั่นนี้ยึดตามต้นฉบับหนังสือการ์ตูนเป็นหลัก ซึ่งต่างจากเวอร์ชั่นอนิเมเดิม ที่มีการแต่งเติมเสริมแต่งเนื้อเรื่องไปเยอะมาก แต่จุดเด่นที่ว่าก็กลายเป็นจุดด้อยไปด้วย เพราะแฟนๆ ลามูอนิเมส่วนหนึ่งนั้นชอบเวอร์ชั่นอนิเมดั้งเดิมมากกว่า เพราะเนื้อเรื่องที่ด้นสดหลายช่วงนั้นดันทำออกมาสนุก และมีการเพิ่มบทบาทให้ตัวประกอบอย่าง “เมงาเนะ” หนุ่มแว่นในเรื่องให้มีบทเด่นขึ้นจนกลายเป็นตัวละครหลักที่ได้รับความนิยมระดับ Top 3 ของเรื่อง ในขณะที่ลามูฯ ฉบับใหม่ เมงาเนะแทบไม่ปรากฎในเนื้อเรื่อง แถมการกำหนดเนื้อเรื่องให้จบใน 46 ตอน ทำให้ตัวอนิเมค่อนข้างเดินเร็ว ในขณะที่ตัวละครมีค่อนข้างเยอะ ทำให้ต้องตัดรายละเอียดออกไปเยอะพอสมควร
ส่วนเรื่องคุณภาพงานสร้างนั้นเรียกได้ว่าหายห่วง ของใหม่งานภาพสวยมาก สวยจนหลายคนรู้สึกว่าสวยเกินไป…เพราะลามูเดิมมันคืออนิเมตลก ตลกเสียจนตัวละครไม่ห่วงสวย แหกปากโวยวาย Over Action บ้าบอกันเป็นปกติ แต่ในเวอร์ชั่นใหม่นั้นกลับรู้สึกว่า ตัวละครห่วงสวย Keep คาแรกเตอร์ไปนิด เหมือนไม่กล้าบ้าบอไปให้สุด ซึ่งความสนุกมันก็ได้อยู่ เพราะเนื้อเรื่องเดิมทีมันก็สนุกอยู่แล้ว แต่รสนิยมส่วนตัว ผมชอบความบ้าบอคอแตกหลุดโลกของอนิเมเวอร์ชั่นเก่ามากกว่าของใหม่นะ แต่ Mood&Tone แบบนั้น อาจจะไม่ถูกใจแฟนๆ รุ่นใหม่ยุคนี้ก็ได้
ลามูฯ ฉบับนี้จึงอาจจะเหมาะสำหรับแฟนรุ่นใหม่ และแฟนๆ รุ่นเก่าๆ ที่อยากจะรำลึกความหลัง ซึ่งตัวอนิเมฉบับใหม่ตอบโจทย์ได้ดีครับ งานดีมาก ภาพสวย เพลงก็เพราะ Keep บรรยากาศยุค 80s ได้ลงตัว แถมมีมุกตลกที่ ref ถึงงานเก่าๆ ของ ทาคาฮาชิ รูมิโกะด้วย เรียกได้ว่าเป็นการรีเมคที่ทำออกมาดีเลยล่ะ แต่ถ้าจะให้ดี อย่าเอาไปเทียบกับอนิเมของเก่าเลย มันคนละบริบท คนละยุคสมัยกัน เอาเป็นว่าถ้าใครอยากดูลามูฯ ฉบับใหม่ ก็ลองไปดูกันได้ครับ ใน bilibili มีให้ดู แล้วปีหน้าค่อยมาดูครึ่งหลังกันต่อ