[ดูจบแล้ว]นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์

ต้องยอมรับกันตามตรงว่า ผมดูหนังเรื่อง นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ ช้ากว่าคนอื่นไป 5 เดือน แม้ส่วนตัวจะค่อนข้างเชียร์หนังเรื่องนี้ แต่ปกติช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นหรือได้รับเชิญไป ผมจะไม่ค่อยได้ไปดูหนังในโรงภาพยนตร์กับเขาสักเท่าไหร่ เพราะด้วยงานรับผิดชอบประจำที่ค่อนข้างเยอะ และหนังสมัยนี้ก็ลงสตรีมมิ่งเร็วมากๆ ด้วยครับ อย่างเรื่องนี้ก็ประมาณ 4 เดือนกว่าเองมั้ง ก็ลง Netflix แล้ว ซึ่งส่วนตัวผมว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะการลง Netflix มันก็แปลว่าอนิเมชั่นเรื่องนี้จะถูกรับชมกันได้ทั่วโลกเลยด้วย

สำหรับเรื่อง นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ ก็เป็นอนิเมไทยของ RiFF Studio ที่มีผลงานในระดับสากลค่อนข้างเยอะ เป็นอนิเมแนวไซไฟที่มีโครงเรื่องบางส่วนมาจากรามเกียรติ แต่ไม่ได้เอามาทั้งหมด เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับองค์รามและทศกัณฐ์ ที่ทำสงครามกันมาอย่างยาวนาน ทว่าทศกัณฐ์กลับลอบลักพาตัวพระแม่สีดาไปจากพระราม แถม พาลี ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรสุดแกร่งของพระรามก็ทรยศ จนวายุ เวฬา และ บุษบา นักรบทั้งสามที่สุครีพคอยดูแลอยู่ต้องออกมาหยุดยั้งพาลีและติดตามช่วยเหลือชิงนางสีดากลับคืนมา

ในส่วนของงานอนิเมชั่นนั้น ผมคิดว่าตัวอนิเมเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีครับ แม้ลึกๆ ในใจผมกลับชอบส่วนที่เป็นงาน 2D ของเรื่องนี้มากกว่าส่วน 3D โดยตัวอนิเมที่เป็นเนื้อเรื่องหลักจะเป็น 3D ครับ แต่พอเป็นฉากย้อนอดีตจะทำเป็น 2D ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม ผมรู้สึกว่าสีหน้าอารมณ์ของตัวละครในเวอร์ชั่น 2D มันดูดี ได้อารมณ์และลื่นไหลกว่าตอน 3D อีก และบางซีนเช่นฉากย้อนเวลาที่สื่อออกมาด้วยรถไฟนั้น มันชวนให้คิดถึงเรื่องเอวานเกเลี่ยนมากๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ Riff เคยร่วมทำอนิเมเรื่องเอวานเกเลี่ยนหนังโรงในส่วน Animation & Render ด้วย

จุดหนึ่งที่ผมไม่ค่อยชอบ แต่เข้าใจว่าต้องมี ก็คือสปอนเซอร์ คือการ Tie-In สปอนเซอร์ในหนังมันไม่ใช้เรื่องแปลกหรอกครับ แต่ด้วยความเป็นหนังไซไฟ อวกาศ การมีสินค้าที่ดูไม่เข้ากับธีมของหนัง Tie-In เข้ามาในหลายๆ ฉาก มันทำให้ดูสะดุด ดูไม่เนียน และหลุดธีมหลักของเรื่องไปมาก แต่ก็อย่างที่บอกครับว่า ไม่ชอบแต่ก็เข้าใจ เพราะตัวหนังเรื่องนี้ทุนสร้างสูงมาก และผู้ชมอย่าเราไม่รู้หรอกว่าเงื่อนไขการคุยกันของสปอนเซอร์แต่ละเจ้าเป็นแบบไหน ซึ่งถ้าทำให้มันเนียนกว่านี้ได้ก็คงดี แต่คิดว่าทีมงานน่าจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดตามเงื่อนไขที่ได้รับแล้ว

ในเรื่องการออกแบบคาแรกเตอร์นั้น ผมถือว่าโอเคนะ แม้มันจะมีความเป็นเซนต์เซย่าอวกาศมาก (ไม่รู้ทำไม ผมกลับนึกถึงเรื่อง Starzinger ขึ้นมาเลย ผมว่ามีอะไรคล้ายๆ กับเรื่องนี้อยู่เยอะ) ร่างนักรบมนตราดูมีความเท่ ดุดัน น่าเอาไปทำของเล่นขายมาก (ฮา) แต่ก็มีจุดที่ผมแอบขำอยู่ คือเพราะเพิ่งดู Gundam Seed Freedom จบไปด้วย ก็เลยรู้สึกว่า ทั้งนางสีดากับลักส์ในภาคหนังโรงนี่หน้าอกกระเพื่อมพอๆ กันเลย (ฮา) แม้เอาจริงผมว่ามันก็เด้งจนเกินความจำเป็นทั้งสองเรื่องแหละ แต่ก็แค่ขำๆ นะ ไม่ได้สะดุดหรือขัดใจอะไร มันดูตลกๆ พอเป็นสีสันในเรื่องได้อยู่

ทว่าจุดที่ผมสะดุดจริงๆ กลับเป็นเรื่องความตลกจนล้นในเนื้อเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะให้มัน Mass เลยพยายาใส่มุกตลกให้โทนเรื่องมันเบาขึ้นหรือเปล่า แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันหลุด อย่างลักษมันตร์นี่แม้จะตลกจนหลุดกรอบ แต่ก็เข้าใจว่าทีมงานจงใจวางคาแรกเตอร์ไว้แบบนั้น (ซึ่งดูดีกว่าพระราม ที่ดูเป็นคาแรกเตอร์ที่ดูเรียบง่ายตามอุดมคติจนเกินไป) แต่ที่ผมรู้สึกขัดมากๆ คือ วายุ (หนุมาน) คือมันดูเป็นคนขี้เล่นจนไม่รู้สึกว่ามันเป็นตัวเอกของเรื่องเลย แม้จะเข้าใจว่าจะวางบทให้เป็นด้านตรงข้ามของ เวลา (นิลพัท) ซึ่งในรามเกียรต์ หนุมานและนิลพัท มันก็เหมือนเป็นด้านสว่างและมืดของกันและกันอยู่แล้ว แต่ด้วยบทบาทของวายุในหนัง มันทำให้ผมรู้สึกว่า วายุเป็นคนน่ารำคาญ ไม่น่าเอาใจช่วย และรู้สึกว่า เวลา กลับเป็นตัวละครที่ดูมีมิติ และน่าสนใจมากกว่า ซึ่งก็หวงว่า หลังจากผ่านปมสำคัญในภาคนี้ ตัววายุน่าจะมีการพัฒนาการให้สมกับเป็นตัวเอกของเรื่องมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม อนิเมชั่นเรื่องนี้ ก็เป็นเหมือนบทเกริ่นนำของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งถ้าใครดูหนังจนจบ ก็เข้าใจว่าทีมงานเขาเตรียมที่จะทำภาคสองไว้แล้ว โดยเฉพาะเรื่องราวที่ปูไว้ในช่วงเครดิตท้ายเรื่อง ตัวจริงของทศกัณฐ์ ผมว่าน่าสนใจมากๆ ครับ แม้จะไม่มีโอกาสได้ดูเรื่องนี้ในโรง แต่ถ้ามีภาคสอง ผมก็อยากไปดูในโรงนะ ผมว่าหลายซีนเวลาดูในโรงภาพยนตร์ น่าจะดูอลังการดี และเรื่องราวในภาคสอง น่าจะดูเข้มข้นกว่าภาคแรกแน่ๆ ล่ะ เพราะคงเป็นเรื่องสงครามกันตรงๆ เลย