Ultraman: Rising หรือชื่อไทย อุลตร้าแมนผงาด(ง้ำค้ำโลก?) เป็นภาพยนตร์อุลตร้าแมนลำดับที่ 44 ที่ซึบุราญ่าสร้างร่วมกับ Netflix Animation โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันแฟรนไชส์อุลตร้าแมนออกสู่สากลแบบจริงจัง จนออกมาเป็นภาพยนตร์อุลตร้าแมนในมุมมองใหม่ที่ยังมีความเคารพต้นฉบับแต่ก็มีแง่มุมที่น่าสนใจและมีความเป็นสากลจนได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ในแง่บวก
โดยพื้นฐานของเรื่องก็ยังคงเดิม คืออุลตร้าแมนต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเพื่อปกป้องโลก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะโฟกัสไปที่ครอบครัวของอุลตร้าแมนเป็นหลัก คือตัวเอกของเรื่อง ซาโต้ เคนจิ ลูกชายของอุลตร้าแมนคนก่อน ซึ่งปัจจุบันเป็นนักเบสบอลที่มีชื่อเสียงอยู่ในอเมริกา ทว่าด้วยสาเหตุบางอย่าง ทำให้เคนจิต้องกลับมาญี่ปุ่นเพื่อทำหน้าที่อุลตร้าแมนแทนพ่อที่ได้รับแก่ชรา
ทว่าการปรับตัวให้เข้ากับทีมใหม่ สังคมใหม่ที่แตกต่างจากเดิม และความไม่ลงรอยกับพ่อของตน ทำให้การกลับมาใช้ชีวิตในญี่ปุ่นอีกครั้งของเคนจินั้นดูเหมือนจะไม่ง่ายนัก แถมเรื่องยังซับซ้อนขึ้น เมื่อเคนจิต้องกลายมาเป็น “พ่อบุญธรรม” ของไคจูตัวน้อยที่สร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตหนุ่มโสดของเคนจิ แถมเจ้าไคจูน้อยยังถูกหน่วย KDF (Kaiju Defense Force) ไล่ล่าอีก ซึ่งการที่อุลตร้าแมนปกป้องไคจูน้อย ก็เท่ากับอุลตร้าแมนต้องกลายเป็นศัตรูของหน่วย KDF ไปด้วยเช่นกัน
พล็อตเรื่องเป็นหนังครอบครัว เมื่อลูกชายอุลตร้าแมนที่ไม่ถูกกับพ่อ ต้องกลายมาเป็นพ่อโดยไม่ตั้งใจ โครงเรื่องไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เด็กก็ดูเข้าใจได้ แต่ผู้ชมที่ไม่เคยรู้จักอุลตร้าแมนมาก่อน ก็สามารถดูได้อย่างประทับใจได้เช่นกัน ก็เลยไม่แปลกใจที่ตัวหนังค่อนข้างถูกใจนักวิจารณ์ ในขณะที่แฟนๆ อุลตร้าแมนก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของความเป็นอุลตร้าแมนคลาสสิคที่แทรกอยู่ตลอดเรื่อง ตั้งแต่ตุ๊กตาอุลตร้าแมนแบบดั้งเดิม (เอวไม่คอด) ป้ายทะเบียนรถ งานดีไซน์สไตล์โชวะ ไปจนถึงเหล่าสัตว์ประหลาดสมัยโชวะและเพลงประกอบอารมณ์เรโทร ซึ่งแค่ไล่ดู easter egg ที่ปรากฎในเรื่อง ผมว่ามันก็สนุกแล้วนะ
และที่ผมชอบคือ การนำเรื่องอุลตร้าแมนมาใส่เรื่องของ Gen Gap เข้าไป เช่น หัวหน้าของ KDF ที่เป็นตัวแทนซีรีส์อุลตร้าแมนยุคโชวะ ที่เห็นไคจูเป็นศัตรู และต้องการกวาดล้างสัตว์ประหลาดให้หมด แม้อาจใช้ความรุนแรงเกินควร แต่นัยหนึ่งก็เพื่อล้างแค้นให้ครอบครัว และไม่อยากให้ครอบครัวคนอื่นเป็นเหมือนตนด้วย พ่อของเคนจิก็เหมือนตัวแทนอุลตร้าแมนยุคมิลเลเนียม ที่ต้องการอยู่ร่วมกับสัตว์ประหลาดอย่างสันติ (คล้ายกับอุลตร้าแมนคอสมอส) ส่วนเคนจิก็เหมือนตัวแทนอุลตร้าแมนยุคเรวะ ที่ประสบปัญหา Gen Gap ในครอบครัว และ Work-life Balance ที่ไม่สมดุล ซึ่งแน่นอนด้วยความเป็นหนังเด็ก ทำให้สุดท้ายดูเหมือนปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายได้ด้วยดีระดับหนึ่ง แม้จะไม่ลงตัวทั้งหมด แต่ก็ยังมีการทิ้งปมสำหรับสร้างภาคต่อเอาไว้ในช่วงท้ายเครดิตด้วย
ส่วนผู้กำกับอนิเมเรื่องนี้ก็คือ Shannon Tindle ที่แม้จะเป็นผลงานกำกับเรื่องแรก แต่เจ้าตัวก็อยู่ในวงการอนิเมชั่นมานานกว่า 20 ปี เคยมีส่วนร่วมในผลงานดังๆ อย่าง Kubo and the Two Strings และยังเคยได้รางวัล Emmy Award ด้วย ส่วนตัวอนิเมชั่นนั้นได้รับการสนับสนุนการผลิตจาก Industrial Light & Magic (ILM) ซึ่งผลงานที่ออกมาก็ถือว่าคุณภาพโอเคเลยครับ ขัดใจก็แค่ดีไซน์ตัวอุลตร้าแมนนี่แหละ ที่ถึงหนังจะสนุกดี แต่ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอยากเก็บของเล่นจากเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาเลย ซึ่งผมคิดคล้ายๆ กับคุณเส่ง (ทรงวิทย์) ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “อุลตร้าแมนร่างเพรียวในเรื่องก็ไม่ขัดตา แต่เมื่อทำเป็นของเล่นกลับขัดใจ” (ซึ่งก็ดี ประหยัดเงินไปเยอะเลย)