ตอนที่มีข่าวว่าจะมีการเอาการ์ตูนเรื่อง ฟรีเรน คำอธิษฐานในวันที่จากลา มาทำเป็นอนิเม ผมว่ามีทั้งกระแสดีใจและแปลกใจ จริงอยู่ที่ว่าการ์ตูนเรื่องนี้กระแสดีมาตั้งแต่ก่อนเป็นอนิเม โดยก่อนที่อนิเมจะออนแอร์ก็มียอดตีพิมพ์ทะลุ 7 ล้านเล่ม แต่ด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างสวนทางกับอนิเมตามกระแสเรื่องอื่น ก็ต้องพูดกันตามตรงว่า เกินคาดจริงๆ ที่อนิเมเรื่องนี้ประสบความสำเร็จขนาดนี้
ฟรีเรน เป็นการ์ตูนแฟนตาซีแนวผู้กล้าปราบจอมมาร ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ได้รับความนิยมในยุคนี่ แต่ฟรีเรนเล่นประเด็นที่ต่างจากเรื่องอื่น ตรงที่เรื่องราวของฟรีเรนเริ่มต้นภายหลังจากผู้กล้าปราบจอมมาร และโลกคืนสู่ความสงบสุขมานานหลายสิบปี เรื่องราวของผู้กล้าก็เริ่มกลายเป็นตำนานที่ถูกลืมเลือน เหล่าสหายร่วมศึกก็เริ่มชราและล้มตาย เหลือแค่เพียงฟรีเรน จอมเวทเอล์ฟซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่อายุยืนยาว ที่เฝ้ามองเรื่องราวต่างๆ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน จนได้เวลาที่ฟรีเรนจะต้องออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะพิสูจน์ความจริงที่ค้างคาอยู่ในใจของฟรีเรน
การเดินทางของฟรีเรนในโลกที่สงบสุขอาจจะไม่ใช่การเดินทางเพื่อต่อสู้กับเหล่าปีศาจ แต่เรื่องราวของฟรีเรนคือเรื่องราวของการพบพาน และลาจาก ในช่วงเวลายาวนานนับพันปีของฟรีเรน ชั่วอายุขัยของมนุษย์ก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ความทรงจำที่มีร่วมกับผู้กล้าฮิมเมล การผจญภัยเพื่อปราบจอมมาร กลับเป็นความทรงจำที่มีค่า และทำให้ฟรีเรนต้องตั้งคำถามถึงความหมายถึงการที่ตนยังมีชีวิตอยู่ จนนำไปสู่การเดินทางครั้งใหม่ กับเหล่าผู้สืบทอดของสหายในอดีต ซึ่งการออกเดินทางครั้งนี้ทำให้ฟรีเรนได้พบพานเรื่องราวใหม่ๆ ที่เติมเต็มช่วงเวลาของฟรีเรนให้มีค่าขึ้น
จุดเด่นและศูนย์กลางของเรื่องก็คือตัวฟรีเรน จอมเวทเอลฟ์หน้าโลลิที่เหมือนไร้อารมณ์ ชินชาอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งเพราะเธอมีอายุยืนยาวนับพันปี ผ่านโลกมามาก ฟรีเรนเป็นจอมเวทที่เก่งกาจ มีพลังเวทมหาศาล แต่กลับไร้ความทะเยอทะยาน มีความสุขกับการได้เรียนรู้เวทมนตร์แปลกๆ ทว่าเวทที่ฟรีเรนชอบมากที่สุด กลับเป็นเวทเสกดอกไม้ เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ฟรีเรนได้รู้จักกับผู้กล้าฮิมเมล ซึ่งช่วงเวลาที่ฟรีเรนและฮิมเมลใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนั้น กลายเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฟรีเรน จอมเวทในตำนานที่เหมือนจะละวางได้ทุกสิ่ง ยกเว้นแต่เรื่องราวการเดินทางกับคณะผู้กล้าเท่านั้น
ด้วยแนวเรื่องที่ถือได้ว่าค่อนข้างแปลก บางทีก็ออกไปทางนามธรรม บางทีก็ตลกหน้าตาย บางตอนก็พลิกไปพลิกมาจนคาดเดาไม่ได้ ก็เลยคิดกันไม่ออกว่า ถ้าฟรีเรนถูกทำเป็นอนิเมจะเป็นอย่างไรให้มันดูน่าสนุกสำหรับคนดูทั่วไป แต่ดูเหมือนทีมงานอนิเมจะไม่คิดแบบบั้น ทั้งสตูดิโอที่ถือได้ว่ามือดีที่สุดค่ายหนึ่งในวงการอย่าง MADHOUSE ที่ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ฉากงานเต้นรำ รวมถึงฉากต่อสู้ของเหล่าจอมเวทในเรื่อง ได้รับการยอมรับจากผู้ชมในเรื่องคุณภาพที่ทำออกมาดีมาก เพลงเปิดก็ได้วงดังอย่าง Yoasobi มาทำให้ รวมถึงสถานีโทรทัศน์ NTV ที่กล้าเป็ดสล็อตเวลาออกอากาศใหม่ในช่วงคืนวันศุกร์ให้กับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทำให้อนิเมเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จในผู้ชมทุกกลุ่ม ทั้งผู้ชมออนไลน์ โอตาคุ นักวิจารณ์ ไปจนถึงผู้ชมทั่วไปทางหน้าจอโทรทัศน์ที่ว่ากันว่าเจาะตลาดยากสุดๆ ด้วยเรตติ้งการออกอากาศที่สูงถึงระดับ TOP4 แซงหน้าขาประจำอย่างโดราเอม่อน วันพีช ชินจังได้ แบบที่หลายๆ คนก็คาดไม่ถึง
ความสำเร็จของอนิเม ส่งผลให้ยอดขายหนังสือการ์ตูนจาก 7 ล้านเล่ม เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านเล่มในระยะเวลาแค่ 6 เดือน และคว้ารางวัลมามากมาย อาทิเช่น ชนะเลิศการ์ตูนยอดเยี่ยม Manga Taishō ครั้งที่ 14 รางวัล Tezuka Osamu Bunkashō ครั้งที่ 25 Rakuten Kobo’s E-book Manga Award ปี 2023 และแน่นอน Shogakukan Manga Award ครั้งที่ 69 ด้วย ส่วนอนิเมตอนนี้ก็รอเข้าชิงหลายรางวัล หลายเวที จนไม่น่าแปลกอะไรที่พออนิเมจบจะมีคนถามหาซีซัน 2 กันทันทีเลย ซึ่งก็คงต้องมารอดูกันครับว่า เราจะได้ดูภาคต่อกันเมื่อไหร่ เพราะตอนจบของเรื่องก็บอกไว้แล้วว่า การเดินทางของฟรีเรนยังไม่สิ้นสุด